นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วนบริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน A new take
on talent ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากผลสำรวจประจำปี Global CEO Survey ครั้งที่ 18 ที่ได้ทำการสำรวจซีอีโอในอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน (Financial Services) จำนวน 410 คน ใน 62 ประเทศ ว่า อุตสาหกรรมบริการทางการเงินกำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะหลากหลายด้านทั้งไอที เทคโนโลยีและเฉพาะทาง (Hybrid Skills) ซีอีโอในอุตสาหกรรมบริการทางการเงินเกือบ 70% เชื่อว่าปัญหานี้เป็นภัยคุกคามการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
“อุตสาหกรรมการเงินไม่สามารถทำธุรกิจแบบมิติเดียวเหมือนในอดีตได้อีกแล้ว ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง การเปลี่ยนแปลงของโลกและพฤติกรรมของลูกค้า หากต้องการประสบความสำเร็จ จำเป็นที่ผู้นำจะต้องคิดต่างและมองให้รอบด้านในการเฟ้นหาทาเลนต์ที่มีทักษะที่หลากหลาย” นายศิระกล่าว
ผลสำรวจพบว่า เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว รวมถึงกฎระเบียบที่ซับซ้อนมากขึ้น และการเพิ่มขึ้นของคู่แข่งหน้าใหม่เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบริการทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่จะกลายมาเป็นคู่แข่งที่สำคัญกับธุรกิจธนาคาร ประกันภัย และบริหารจัดการสินทรัพย์การลงทุนในอนาคตอันใกล้นี้ ทำให้ความต้องการบุคลากรที่มีความสามารถหลากหลายด้านทั้งทักษะเฉพาะทางและทักษะดิจิตอลจะเพิ่มมากขึ้น
“หากบริษัทยังมุ่งรับบุคลากรที่มีทักษะแบบเดิมๆ ไม่คำนึงถึงความสามารถ หรือทักษะที่หลากหลายจะทำให้บริษัทล้าหลังในที่สุด เพราะขาดแขนขา ขาดคนที่มีหัวคิดและทักษะใหม่ๆ”
นายศิระกล่าวว่า ซีอีโอในอุตสาหกรรมบริการทางการเงินกว่า 78% ยอมรับว่ากำลังมองหาบุคลากรที่มีทักษะหลากหลายมากขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือ บริษัทเหล่านี้กลับยังไม่สามารถสรรหามาเสริมทัพได้ มีเพียง 5% เท่านั้นที่มั่นใจว่าจะหาคนที่มีทักษะตรงกับความต้องการอย่างแท้จริง แม้ว่าแนวโน้มการจ้างงานในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ จะมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ตามที โดยซีอีโอในกลุ่มการเงิน โดยเฉพาะในธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์การลงทุน (Asset Management) มีแผนจะเพิ่มจำนวนพนักงานในปีหน้า
“เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า พฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และการเข้ามาของคู่แข่งสายพันธุ์ใหม่ที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ยิ่งทำให้การสรรหาบุคลากรที่ตรงความต้องการ ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป”
ในระยะต่อไป บุคลากรที่มีทั้งทักษะเฉพาะทางและเชี่ยวชาญด้านดิจิตอลจะเป็นที่ต้องการของตลาดจะเกิดการแย่งชิงบุคลากรเหล่านี้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี การบริการลูกค้า การบริหารความเสี่ยงและการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ทำให้บุคลากรที่มีความสามารถดังกล่าวขาดแคลน
เมื่อบวกกับอุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบริการทางการเงินทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ในเชิงลบจากคดีความต่างๆ ผลตอบแทนหรือโบนัสที่ลดน้อยถอยลงจากปัญหาวิกฤติหนี้ บวกกับต้นทุนค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance Costs)ที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยที่กดดันผู้บริหารของอุตสาหกรรมนี้ขณะเดียวกันก็ต้องแข่งขันกับบริษัทต่างๆเพื่อแย่งชิงบุคลากรที่มีทักษะหลากหลายเหล่านี้ เมื่ออุตสาหกรรมธุรกิจบริการทางการเงินมีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะหลากหลายมากขึ้น จึงส่งผลให้องค์กรต้องนำกลยุทธ์การบริหารความหลากหลายมาใช้เป็นเงาตามตัว
“ประเทศไทยก็คงหนีไม่พ้นโดยเฉพาะ Know-How ด้านเทคโนโลยี ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในโลกธุรกิจ ผู้บริหารต้องเติมเต็มองค์กรให้เต็มไปด้วยคนคุณภาพที่มาจากหลายสายพันธุ์ หลายสาขาวิชาชีพ หลายอุตสาหกรรม ปรับองค์กรให้เป็นแหล่งคนเก่งที่มีหลากหลายมิติ ที่สำคัญให้คนเหล่านี้ได้แสดงความสามารถ ให้เครื่องไม้ เครื่องมือในการทำงานที่เหมาะสม หากทำได้ ก็จะช่วยขับเคลื่อนให้องค์กรเดินไปข้างหน้าได้เร็วกว่าคู่แข่งรายอื่น”
นายศิระกล่าวทิ้งท้ายว่า เทรนด์ของการร่วมมือกันทางธุรกิจผ่านการควบรวม พันธมิตรร่วมทุนและอื่นๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจบริการทางการเงินจะมีมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการบุคลากรที่มีความสามารถจะมีมากขึ้น แต่ความท้าทายที่สำคัญคือการที่ผู้บริหารและฝ่ายจัดการทรัพยากรบุคคล รู้จักนำเทคโนโลยีมาต่อยอดกิจการ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทักษะที่เหมาะสมของพนักงานที่องค์กรต้องการ รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีในด้านอื่นๆ เช่น การมีเครื่องมือ หรือระบบเฝ้าระวังพฤติกรรมการทุจริต หรือประพฤติมิชอบของพนักงาน เพื่อสร้างประสิทธิผลสูงสุดให้แก่องค์กร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี