ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2558 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้แจ้งหมายงานเร่งด่วนไปยังผู้บริหารกระทรวงการคลัง ว่าจะเข้าไปมอบนโยบาย สร้างความแปลกใจให้กับข้าราชการและรัฐมนตรีกระทรวงการคลังอย่างมาก
นายสมคิดเปิดเผยหลังมอบนโยบายผู้บริหารกระทรวงการคลัง ว่า ได้มอบนโยบายในการทำงานระยะที่ 2 โดยแบ่งกลุ่มงานออกเป็น 6 ด้าน ประกอบด้วย 1.การปฏิรูปโครงสร้างภาษีอากร เพื่อขยายฐานรายได้ และสร้างความเป็นธรรมให้สังคม โดยจะครอบคลุมหลายเรื่องของระบบภาษี ซึ่งจะทำให้รายได้ประเทศเพิ่มขึ้น โดยไม่เบียดเบียนประชาชน รวมถึงการเดินหน้าการพัฒนาช่องทางการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเพย์เม้นท์ด้วย
สำหรับกลุ่มงานที่ 2 การอำนวยความสะดวกในการลงทุน การทำธุรกิจ และการให้บริการประชาชน โดยในวันที่ 6 พ.ย.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายักรัฐมนตรี จะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงรายละเอียดแผนการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการทำธุรกิจ หรือ Doing Business โดยจะเร่งให้เกิดผลเร็วที่สุด
ส่วนกลุ่มงานที่ 3 การพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของประเทศ โดยได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ( สศค.) เรื่องการจัดตั้งกองทุนนวัตกรรม ที่จะนำเงินจากกองทุนมาใช้พัฒนาภาคธุรกิจทั้งไทยและต่างชาติร่วมลงทุน เป็นการยกระดับเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เบื้องต้นจะมีเงินจากรัฐในการจัดตั้งกองทุน
ขณะที่กลุ่มงานที่ 4 เรื่องการพัฒนาตลาดทุนและตลาดเงิน โดยจะให้ สศค. ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ให้พัฒนาทั้ง 2 ตลาดให้เป็นสากลมากขึ้น และต้องสะท้อนความต้องการของเศรษฐกิจ รวมถึงจะต้องมีการแก้ไขกฎเกณฑ์ กฎหมายให้ทันสมัย คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 5-6 เดือน
นายสมคิดกล่าวว่า กลุ่มที่ 5 การเน้นการปฏิรูปภายในกระทรวงการคลัง เช่น กรมธนารักษ์ ต้องตอบสนองนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และใช้ประโยชน์จากที่ราชพัสดุให้คุ้มกับมูลค่าทรัพย์สิน และในกลุ่มที่ 6 การคลังเพื่อสังคม เช่น ธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise แนวทางคือดึงภาคเอกชนเข้าร่วมลงทุนด้านสังคม
“เมื่อมาตรการทุกด้านมีความชัดเจนจะเริ่มนำไปชี้แจงกับนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะเวทีการประชุม Asia Economic
Forum ช่วงเดือนพ.ย.นี้จะมีการหารือการปฏิรูปด้านต่างๆ ด้วย ส่วนการดำเนินงานในเฟสแรก ที่ออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าจะเพียงพอต่อสถานการณ์ขณะนี้แล้ว จะไม่มีการออกมาตรการอื่นเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป ซึ่งหากว่าไม่มีความจำเป็นจะไม่มีการออกมาตรการแล้ว แต่หากจำเป็นก็จะมีการพิจารณาเพิ่มได้”นายสมคิด กล่าว
นายสมคิดยังกล่าวถึงการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ว่า ทางกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ได้เชิญกลุ่มคลัสเตอร์ 7-8 ราย ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ชี้แจงในรายละเอียด ก่อนจะไปชี้แจงในที่ประชุมกับนักลงทุนรายใหญ่ในช่วงปลายเดือนพ.ย.นี้ โดยในที่ 3 พ.ย.นี้ จะมีการเสนอแพ็กเกจการส่งเสริมการลงทุนของเอสเอ็มอีกลุ่มใหม่ เพื่อให้เกิดธุรกิจใหม่มากขึ้น
“การดำเนินการจากมาตรการทั้งหมดที่ผ่านมาไม่มีทางทำให้รัฐบาลกระเป๋าฉีกอย่างแน่นอน สามารถดูแลการคลังได้เป็นอย่างดี ส่วนการปฏิรูปโครงสร้างภาษีที่จะดำเนินการนั้นจะเป็นการปรับฐานให้ขยายมากขึ้น ลึกมากขึ้น” นายสมคิดกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี