คลังเร่งลงทุนพีพีพี3.5แสนล.
คลังตั้งทีม “พีพีพีฟาสต์แทร็ค” ร่นเวลาโครงการลงทุนจาก 2 ปีเหลือ 9 เดือน นำร่อง 6 โครงการ วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท มีรถไฟฟ้า 3 สาย ท่าเรือ ทางด่วน โรงไฟฟ้าขยะ ตั้งเป้าภายใน 5 ปี 66 โครงการ ต้องเป็นรูปธรรม เล็งดึงสภาพคล่องเอกชน 2.2 ล้านล้าน เข้ามาร่วมลงทุน ด้านปลัดคลังเผย นายกฯนัดถกทีมเศรษฐกิจ แก้ปมไทยโดนลดเครดิตความสะดวกในการทำธุรกิจ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า สคร.เร่งผลักดันโครงการร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน (พีพีพี) 6 โครงการ มูลค่า 3.5 แสนล้านบาท ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ และเริ่มดำเนินโครงการได้กลางปีหน้า โดย สคร.ได้ตั้งทีมงาน พีพีพีฟาสต์แทร็ค เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานเจ้าของโครงการพีพีพี สคร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานงบประมาณ เพื่อพิจารณาการดำเนินโครงการพีพีพีไปพร้อมกัน ซึ่งจะทำให้ประหยัดเวลาการดำเนินการจาก 2 ปี เหลือ 8-9 เดือน
สำหรับโครงการพีพีพี 6 โครงการ ตอนนี้มี 2 โครงการส่งให้ สคร. พิจารณาแล้ว ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ส่วนโครงการที่จะตามมา ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน โครงการมอเตอร์เวย์ โครงการโรงไฟฟ้าขยะ และโครงการท่าเรือ ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพีพีพีที่จะดำเนินการภายใน 5 ปี จำนวน 66 โครงการ มูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท
นายเอกนิติกล่าวว่า การทำพีพีพีฟาสต์แทร็ค เพื่อให้การดำเนินการโครงการพีพีพีให้เกิดขึ้นในทางปฏิบัติจริง ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลมอบหมายให้เป็นภารกิจของ สคร. หลังจากที่กฎหมายพีพีพีใหม่ปี 2556 บังคับใช้มา 2 ปี มีการเขียนกฎหมายลูกหมดแล้ว ถึงเวลาที่จะทำให้เกิดโครงการลงทุนแบบพีพีพีให้ได้ แต่การเร่งดำเนินการก็ยังต้องมีความโปร่งใสและคุ้มค่าที่จะลงทุน
นอกจากนี้ในช่วงที่เอกชนมีสภาพคล่องทางการเงินสูงถึง 2.2 ล้านล้านบาท จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะดึงเอกชนมาร่วมลงทุนในโครงการของรัฐบาล อีกทั้งยังเป็นการลดภาระงบประมาณ ไม่ทำให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้น แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในระดับต่ำ 43% ของจีดีพี
นายเอกนิติกล่าวว่า การลงทุนพีพีพีมีต้นทุนสูงกว่าเงินกู้ แต่การที่ภาครัฐดำเนินการโครงการลงทุนได้ล่าช้า ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาส การทำพีพีพีให้เอกชนมาลงทุนจึงจะเป็นประโยชน์คุ้มค่ากับประเทศไทยมากกว่า และเก็บเงินกู้ไว้ไปใช้ในโครงการที่เอกชนลงทุนไม่สามารถลงทุนได้ เพื่อเป็นการพัฒนาประเทศต่อไป
ขณะที่นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 6 พ.ย.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเชิญรัฐมนตรีทุกกระทรวงด้านเศรษฐกิจ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าหารือเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาหลังประเทศไทยถูกปรับลดการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการทำธุรกิจ หรือ Doing Business จากธนาคารโลก ที่ปรับลดจากอันดับที่ 46 มาอยู่อันดับ 49
ทั้งนี้ การปรับลดอันดับของไทยดังกล่าวทางธนาคารโลกได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เข้ามาทำงาน โดยที่ผ่านมาได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อดูแลเรื่องดังกล่าวแล้ว ซึ่งได้มีการวางแผนแก้ไขทั้งการเสียภาษีที่มีความซับซ้อน การขอใบอนุญาตจัดตั้งโรงงาน กฎหมายบางประการที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ ซึ่งจากการแก้ไขปัญหานี้มั่นใจว่าจะทำให้ไทยจะอยู่ในอันดับที่ดีในการประเมินครั้งหน้า
“นายกฯกำชับเรื่องนี้ต้องบี้ให้ติด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ต้องรู้ว่าปรับปรุงอะไรบ้าง มั่นใจการประเมินผลรอบต่อไปต้องดีขึ้น เพราะเรารู้จุดอ่อนหมดแล้ว จะดำเนินไปทิศทางที่ถูกต้อง” นายสมชัย กล่าว
นายสมชัยกล่าวถึงกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0-0.25% ต่อปี ว่า การคงดอกเบี้ยนโยบายเป็นผลดีกับเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก เนื่องจากสหรัฐยังไม่มีความมั่นใจในการฟื้นตัว หากมีการปรับขึ้น
ดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวในช่วงเบื้องต้น อาจจะทำให้มีผลกระทบกับเศรษฐกิจโลกได้
อย่างไรก็ตาม ทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และกระทรวงการคลังได้มีมาตรการที่สามารถรองรับความผันผวนของเงินทุนไหลเข้า-ออกได้ ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ประเมินว่าทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะมีการปรับขึ้นในปีหน้าจาก 1.5% เป็น 1.75% โดยมองว่าสามารถดำเนินการได้หากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้น
ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการจากรัฐบาล และมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ และปัจจัยเรื่องการส่งออกที่จะดีขึ้นในปีหน้า รวมถึงการบริโภคภายในประเทศ ราคาสินค้าจะดีขึ้น และอัดฉีดเงินงบประมาณขาดดุลปี 2559 อีก 3.9 แสนล้านบาท โดยคาดว่าทุกมาตรการของรัฐบาลจะเห็นผลชัดเจนได้ในปีหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี