หวั่นสปสช.-ประกันสังคม-กยศ.เสี่ยงเกิดปัญหาสภาพคล่อง
คลังจับตาการเงิน3กองทุน
คลังจับตากองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) กองทุนประกันสังคม กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เสี่ยงเจอปัญหาสภาพคล่องในอนาคต เหตุภาระผูกพันขยายตัวต่อเนื่อง คนสูงอายุเพิ่ม รัฐบาลต้องเร่งหามาตรการควบคุมรายจ่าย สร้างรายได้เพิ่ม ลดเงินอุดหนุนและภาระการคลัง
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำลังจับตาสถานะทางการเงินของกองทุนนอกงบประมาณ 3 แห่งอย่างใกล้ชิด ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กองทุนประกันสังคม และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เนื่องจากทั้ง 3 กองทุนมีขนาดใหญ่หากประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินอาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงและภาระทางการคลังให้แก่รัฐบาลได้ เพราะภาระดังกล่าวเป็นภาระผูกพันตามกฎหมายไม่สามารถตัดลดได้ ถือเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง
สำหรับแนวทางลดความเสี่ยงทางการคลังนั้นรัฐบาลจะต้องมีมาตรการควบคุมการขยายตัวของรายจ่ายหรือเพิ่มรายได้ของกองทุนที่เป็นสวัสดิการสังคมทั้งกองทุนประกันสังคม ควรพิจารณาเพิ่มอายุการเกษียณเพื่อขยายเวลาการเรียกเก็บเงินสมทบกองทุน รวมถึงการยกเลิกเพดานเงินเดือนของการจ่ายเงินสมทบเพื่อเพิ่มรายได้ของกองทุน ส่วนกองทุน สปสช. ควรศึกษาแนวทางการเพิ่มรายได้ เช่น การร่วมจ่ายค่าบริการเพื่อเป็นเครื่องมือปรับพฤติกรรมการใช้บริการสุขภาพของผู้ประกันตน ลดการใช้บริการที่ไม่จำเป็น
ส่วนกรณีของกยศ. จะต้องพัฒนาการบริหารจัดการการให้กู้เงิน โดยคัดกรองผู้กู้ที่มีคุณภาพ เพื่อให้ผู้กู้เห็นคุณค่าของเงินและไม่สร้างปัญหาในการจ่ายคืนในอนาคต, มีมาตรการในการจัดเก็บหนี้ที่เหมาะสมและเป็นธรรม, คำนึงถึงการบริหารจัดการเงินทุนที่มีอยู่ให้สามารถจัดหาผลประโยชน์ได้มากที่สุด เพื่อให้กองทุนมีเงินทุนและสามารถดำเนินการตามวัตถุประสงค์ได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากรัฐบาล
ทั้งนี้ยอมรับว่าทั้ง 3 กองทุนมีความเสี่ยงและอาจประสบปัญหาทางการเงินได้ในอนาคต ทั้งกองทุน สปสช. ที่มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการพึ่งพางบประมาณของรัฐบาล สวนทางกับค่าใช้จ่ายของกองทุนที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้สูงอายุและมีแนวโน้มความต้องการบริการทางการแพทย์ หากอนาคตโครงสร้างประชากรที่เป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ จะทำให้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่กองทุนประกันสังคมจะได้รับผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเช่นกันเพราะรายจ่ายส่วนใหญ่เป็นประมาณการหนี้สิน ประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพและค่าประโยชน์ทดแทน แต่รายได้ส่วนใหญ่มาจากงบสมทบ จากนายจ้าง ผู้ประกันตนและเงินสมทบจากรัฐบาล หากรายได้ทยอยปรับลดลงไปตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของประชากรและกำลังแรงงาน ส่งผลให้ระยะยาวเป็นภาระให้รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
สำหรับ กองทุน กยศ. แม้จะได้รับการจัดสรรงบจากรัฐบาลลดลง แต่วัตถุประสงค์ที่ต้องการสนับสนุนให้เยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้มีโอกาสได้รับการศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรี ลดปัญหาในเรื่องความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษา และเป็นการ
สร้างความเท่าเทียมกันในการประกอบอาชีพ จึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องเข้าไปดูแล แต่ปัจจุบันกระบวนการเรียกเก็บหนี้จากผู้กู้ยืมไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าวว่า ได้ทำการออกหนังสือถึงผู้อำนวยการสถานพยาบาลของทางราชการ เรื่องเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยตามเกณฑ์ตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม (DRGs) โดยให้สถานพยาบาลสามารถเบิกค่ายาแยกต่างหากจาก DRGs ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการรักษาพยาบาลที่แท้จริง และให้ข้าราชการได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับสิทธิดังกล่าวจะต้องเป็นผู้ป่วยที่สถานพยาบาลได้รับตัวเป็นผู้ป่วยในตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 สามารถเบิกจ่ายค่ายาแยกต่างหากจาก DRGs ได้กรณีผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับยาบางประเภทต่อเนื่องเพื่อให้ร่างกายหายปกติหลังจากออกจากสถานพยาบาล เช่น กลุ่มยาวัณโรค ให้สถานพยาบาลเบิกค่ายาเฉพาะส่วนที่เกิน 2 สัปดาห์ขึ้นไป
นอกจากนี้ยังมีกรณีผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับยาโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หัวใจ และเคยได้รับยาดังกล่าวอย่างต่อเนื่องมาก่อนที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยใน โดยให้สถานพยาบาลสามารถเบิกจ่ายค่ายาดังกล่าวที่จ่ายให้ผู้ป่วยกลับไปรับประทานที่บ้านได้ทั้งหมด
นายมนัส กล่าวว่า การเบิกจ่ายยาผู้ป่วยแยกออกจาก DRGs หากผู้ป่วยไม่ได้ลงทะเบียนเบิกค่ารักษาพยาบาลตรงกรณีที่เป็นผู้ป่วยใน ให้สถานพยาบาลเรียกเก็บเงินที่จ่ายแยกจาก DRGs จากผู้ป่วยและให้ใบเสร็จกับผู้ป่วย เพื่อให้นำไปยื่นเบิกกับหน่วยราชการต้นสังกัดด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ในปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลข้าราชการทั้งระบบอยู่ประมาณ 6 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งที่ผ่านมากรมบัญชีกลางได้ร่วมกับสถานพยาบาลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ควบคุมรายจ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็น เพื่อนำมาเพิ่มสิทธิในลักษณะดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้การรักษาพยาบาลข้าราชการมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ไม่เป็นภาระกับเงินงบประมาณของประเทศเพิ่ม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี