ธปท.เจียดเงินสำรองตั้งกองทุนหากำไร
เล็งเป้าแรกหุ้นต่างประเทศ
ทุนไหลออกไม่กระทบไทย
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เปิดเผยว่า ไม่กังวลใจกับการอ่อนค่าของเงินบาทที่เคลื่อนไหวอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอ่อนค่าจากต้นปี 4% และยังไม่จำเป็นต้องมีมาตรการดูแลเงินทุนไหลออก เพราะถือเป็นเรื่องปกติของนักลงทุนต้องเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนเพื่อทำกำไร ขณะเดียวกันการที่ธนาคารสหรัฐ (เฟด) ได้มีการส่งสัญญาณว่าจะชะลอมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ คิวอี ตั้งแต่การประชุมเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้มีเงินทุนไหลออกเป็นระยะ
โดยในขณะนี้ได้ไหลออกแล้ว 15% ของสินทรัพย์ที่ต่างชาติถือครอง เช่น พันธบัตร หุ้น แต่เชื่อว่าทรัพย์สินและเงินสำรองของธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีอยู่ในบัญชีกิจการธปท. และบัญชีฐานะล่วงหน้าของ ธปท. (SWAP BOOK) ที่มีอยู่ 125,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพียงพอรองรับการไหลออกของเงินทุนได้ และเชื่อว่าการไหลออกของเงินทุนต่างชาติรุนแรงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนต้องมีการป้องกันความเสี่ยงเพราะ ธปท. จะดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้เป็นไปตามกลไกตลาด หากมีความผันผวนมากจนเกินไปจะเข้าไปดูแลไม่ให้กระทบต่อการกำหนดราคาสินค้าส่งออก
นางผ่องเพ็ญกล่าวว่า ธปท.ได้ทำบททดสอบเพื่อศึกษาสถานการณ์เงินทุนไหลออกไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงมั่นใจว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังดี สามารถรองรับสถานการณ์ได้ เพราะในปัจจุบันดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยยังเกินดุล หากหักลบการนำเข้าทองคำ และเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะพิจารณาจากความสามารถในการขยายตัวของเศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งหลังจากนี้ รัฐบาลจะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่งและทำให้ประเทศมีศักยภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ และทำให้นักลงทุนมีความเชื่อถือต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้น
ส่วนการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเป็นผลดีต่อฐานะการเงินของ ธปท. ที่สิ้นปี 2555 ขาดทุน 530,892 ล้านบาท ซึ่ง ธปท. ทำแผนและมีแนวทางที่จะลดการขาดทุนโดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อนำเงินทุนสำรองส่วนเกินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ได้รับอนุญาตภายใต้ พ.ร.บ. ธปท. ปัจจุบัน เช่น หุ้น และจัดตั้งกองทุนระยะยาวเพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ หรือ new opportunity fund ซึ่งต้องออกเป็นกฎหมายใหม่ โดยหลังจากศึกษาแล้วเสร็จ จะเสนอให้คณะกรรมการ ธปท. พิจารณาต่อไป
ด้านนางลักษมณ อรรถาพิช เศรษฐกรอาวุโส สำนักงานผู้แทนประเทศไทย ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี ส่วนสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้าย เป็นสถานการณ์ที่เอดีบีคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือ เฟด ส่งสัญญาณว่าจะถอนมาตรการคิวอี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงินทุนไหลกลับ แต่เชื่อว่า สถานการณ์ในไทยจะไม่รุนแรงเท่ากับประเทศอินโดนีเซียและอินเดีย เนื่องจากไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง จึงยังไม่น่ากังวล ส่วนความกังวลหนี้ภาคครัวเรือน เอดีบีไม่มีความเป็นห่วง แม้ว่าระดับหนี้ภาคครัวเรือนจะสูง แต่ขณะนี้ก็ยังไม่เกิดหนี้เสีย ยังมีการชำระหนี้ได้ตามปกติ แต่ยอมรับว่า ส่งผลต่อการใช้จ่ายของประชาชนลดลง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี