โดดเด่นทีเดียว จากการเป็นพระรองในละคร “พ่อยุ่งลุงไม่ว่าง” ทาง ช่อง 3 พอได้โอกาสพบปะเจรจา “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” จึงคว้าแขน “ปั้น” ธนพล พีชะพัฒน์ มาทำความรู้จักกันค่ะ
วัยเด็ก
ปั้นมีพี่น้องทั้งหมด 3 คนครับ ปั้นเป็นคนเล็ก ผู้ชายหมดเลย ซึ่งวัยเด็กส่วนใหญ่ผมก็ตามพี่ๆ ครับ พี่ว่าไง เราก็ตาม พี่คนโตกับผมจะห่างกัน 7 ปี แต่คนกลางกับผม 2 ปี เวลาเขาจะไปเล่นอะไรกัน ส่วนใหญ่เขาจะไปกัน 2 คน เราก็อยู่กับแม่ ติดแม่มากกว่า เด็กๆ เลยจะไม่ค่อยได้ซนเท่าไหร่ มีเรียนเปียโน ประกวดเปียโนบ้าง แต่ไม่ค่อยใช่แนว เพราะผมไม่ชอบอ่านโน้ต ชอบจำนิ้วเอา เลยทิ้งๆ ไป มาช่วง ม.ปลาย เรียนโรงเรียนชายล้วน เซนต์คาเบรียล แล้วตอนนั้นเป็นยุคของดนตรี การประกวดเวทีต่างๆ ผมเลยจับเบส ฟอร์มวงกับเพื่อนตอน ม.5 ชื่อวง “โชเล่” มาจากตอนนั้นเพื่อนชอบเล่น Winning เกมฟุตบอลใน Play station จะมีจังหวะหนึ่งที่เพลงร้องว่า โชเล่ เพื่อนผมก็เลยเอามาตั้งชื่อวง (หัวเราะ) พอได้เพลง ก็ส่งประกวดฮอตเวฟกัน จนได้ติด 30 วงสุดท้าย เราก็แบบโอ้โห... ดีใจมาก เปิดวิทยุฟังประกาศกัน และก็ไปเล่นที่เซ็นทรัลเวิลด์ ตอนซ้อมนี่อย่างปึกมาก ปรากฏวันจริงมือกลองที่เก่งที่สุดในวง กลับหลุด ลืมตีอินโทร ไปตีเข้าเพลงเลย นักร้องก็ร้องผิดคีย์ หน้าซีดกันหมด ตอนนั้นเล่นเพลง “ข้าน้อยสมควรตาย” แล้วโรงเรียนผมไปเชียร์กันเยอะมาก ไปทีเป็น 100 คน ยึดหน้าเวทีกันหมดเลย เรามันส์กันมาก คนดูก็กระโดดกันมันส์ แต่สุดท้ายตกรอบ 30 วงครับ (หัวเราะ) ม.6 ก็ทำการบ้านกันใหม่ ส่งไปใหม่ ติด 30 วงได้ไปเล่นโชว์อีก แต่คราวนี้มือกลองหลุดหนักกว่าเดิมอีก เล่นเพลง “แค่นิยาย” ค่อมจังหวะเลยคราวนี้ ตกรอบเหมือนเดิมครับ
เข้ามหา’ลัย
ผมไปสอบตรง ติด SIIT วิศวะอินเตอร์ ธรรมศาสตร์ครับ พอเข้าไปเรียนก็ค่อนข้างยากมาก จนเราไม่มีเวลาจับเครื่องดนตรีอะไรเลย จนเรียนจบ 4-5 ปีไม่ได้จับเบสอีกเลยครับ แต่ก็คุยกับเพื่อนในวงอยู่เรื่อยๆ ว่าคิดถึงช่วงเวลานั้น ที่ซ้อมกันหนักมาก ตั้งแต่ 11 โมงเช้า จนข้ามวันข้ามคืนกัน เพื่อหวังจะติด 10 วงของฮอตเวฟ พอเป็นนักศึกษา ก็ได้ใช้ชีวิตแบบคนอยู่หอครับ กิน เที่ยว กับเพื่อนฝูง เวลาจะสอบก็นัดเป็นกลุ่มไปติวกัน พอนึกย้อนกลับไป มิน่าคนเขาถึงบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่มันส์ที่สุดในชีวิตแล้ว เพราะไม่ต้องคิดอะไรเลย ตอนนั้นผมก็งงนะ มันส์อะไร ไหนจะต้องสอบ ต้องเรียน แต่พอเรามาอยู่จุดนี้มองไป เออ...หนุกจริง (หัวเราะ)
ครอบครัว
คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้วางกรอบให้ครับ ผมเป็นคนเล็ก ถ้าพี่เดินไปทางไหนก็จะเดินไปทางนั้น พี่เรียนเซนต์คาเบรียล ผมก็เรียนเซนต์คาเบรียล เรียนกันทั้งบ้าน ธรรมศาสตร์ก็ธรรมศาสตร์ทั้งบ้าน วิศวะเหมือนกันหมดเลย(หัวเราะ) คนโตวิศวะอุตสาหกรรม คนกลางวิศวะเครื่องกล ส่วนผมตอนแรกจะไปทางอุตสาหกรรมแต่ดูแล้วมาทางการจัดการดีกว่า ก็เลยเรียนวิศวะการจัดการ เรียนเรื่องมาร์เกตติ้ง เมเนจเม้นต์ แม่บอกว่าจะเอามาจัดการพวกพี่ๆ อีกทีหนึ่ง (หัวเราะ)ธุรกิจหลักของที่บ้าน คือทำโรงงานขนมปังครับ ที่เป็นขนมปังปอนด์โยนให้ปลากิน ตอนมหา’ลัยก็ช่วยที่บ้านเยอะมาก ช่วยส่งของ ขับรถ ผมก็ชอบนะ คิดว่าโตขึ้นคงสานต่อที่บ้านแน่นอน แล้วก็แตกไลน์เป็นปังกรอบอะไรไป พี่ผมคนโตเขาทำงานอยู่ ปตท. คนกลาง อยู่เชฟรอน ที่แท่นน้ำมันเลย ก็เลยเหลือผมที่วางแผนสานต่อที่บ้าน เพราะตอนนั้นไม่ได้คิดเรื่องงานในวงการเลย
เข้าวงการ
เป็นจังหวะตอนนั้นอยู่หอ แล้วไปกินข้าวที่ร้านแถวมหา’ลัย พี่เอ-ศุภชัยก็ไปเปิดร้านอยู่แถวนั้น แกก็เข้ามาขอไลน์ เขาบอกเสียงปั้นน่าจะไปเป็นนักข่าวนะ
แล้วเดือนต่อมาแกก็บอกนัดแคสให้แล้ว ผมก็เข้าไปแคส แล้วตอนนั้นขี้อายมาก เล่นดนตรีผมก็เล่นอยู่แบ๊กอัพข้างหลัง พอต้องไปพูดกับกล้องกลัวมาก รู้ตัวเลยว่าไม่ได้เรื่อง เพราะประหม่า ตื่นเต้น แล้วก็ไม่ติดครับ ผมก็บอกพี่เขาว่าผมคงไม่เหมาะ แต่พี่เขาก็พาไปหาผู้จัดฯอยู่เรื่อยๆ จนได้เจอ อาปิ่น (ณัฏฐนันท์ฉวีวงษ์ ค่ายทีวีซีน) เข้าเห็นผมเข้าไปแคส เขาก็บอกกำลังหาคาแร็กเตอร์แบบนี้อยู่ เป็นผู้ชายดูนิ่มๆ อบอุ่น แล้วผู้กำกับพี่ฟิวส์ (กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล) เขาก็อยากได้คนที่ไม่เคยเล่นบทนี้มาก่อน ผมก็เลยได้เริ่มเรื่องแรก เล่น “ใต้เงาจันทร์” เป็นเพื่อนนางเอก ดีใจมากครับ ไปวันแรกก็ได้งานเลย แล้วก็ได้ไปเรียนแอ๊กติ้งเริ่มเก็ทการแสดงว่าเป็นแบบนี้นะ แต่ทฤษฎีกับปฏิบัติต่างกันเยอะมาก จำได้ว่าซีนแรกแค่ขึ้นบันไดเลื่อนแบบไม่ต้องพูดกับใคร ล่อไป 5 เทค (หัวเราะ) แล้วตอนนั้นเพิ่งจบเลยครับ ก็เลยเหมือนเป็นการลองหาประสบการณ์ให้กับตัวเองด้วย
ละครเข้ามาต่อเนื่อง
พอจบเรื่องแรก ก็เซ็นสัญญากับทั้งพี่เอ และอาปิ่น คนละ 5 ปีเหมือนกันครับ และก็ได้เล่นเรื่อง “ดั่งพรหมลิขิตรัก” ต่อ ถ่ายเสร็จไป 2 ปีแล้วครับ (หัวเราะ) ในเรื่องเป็นท่านชาย 3 คน 3 หนุ่ม 3 มุม ร่วมกับ บอมบ์-ธนิน และ เฟิร์ส-เอกพงษ์ เป็นเรื่องที่สนุกนะครับ ต้องรอดูว่าจะได้ออนแอร์เมื่อไหร่ จากนั้นก็รับเชิญมาเรื่อยๆ ครับ ชั่วโมงต้องมนต์, เพชรกลางไฟ จนมาถึง “พ่อยุ่งลุงไม่ว่าง” ที่เต็มตัวหน่อย และก็มี “หนึ่งด้าวฟ้าเดียว” กับ “ชาติเสือพันธุ์มังกร” ที่กำลังถ่ายทำครับ
ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ
3 ปีกว่าแล้วครับ แต่ผมมีหายเป็นปีเหมือนกันก็มีคิดว่า เอ๊ะ..หรือจะไม่ใช่ทาง ก็ปรึกษาพี่ๆ หลายท่าน เขาก็บอกทุกคนต้องเจอโมเม้นต์แบบนี้ ปี 2 ปี มันจะหายไป ถามว่าคาดหวังไหม ก็ยอมรับว่ามีบ้างครับ เพราะเราเลือกที่จะเข้ามาตรงนี้แล้ว เลือกที่จะไม่เรียนต่อแต่จุดหนึ่งเราโอเค ไม่ได้ผิดหวังอะไร เพราะว่างเราก็ไปช่วยที่บ้าน ทำขนมปัง มีความสุข ไม่ได้ยึดติดกับงานในวงการ
เริ่มต้นธุรกิจตัวเอง
ทำไก่ขายอยู่ตรงทองหล่อครับ เป็นรถเข็นเล็กๆ ข้างทาง คือมีคนที่ผมรู้จักเขาทำขายมาประมาณ 3 ปีกว่าแล้ว เรากินแล้วเราชอบ ก็เลยชวนเขามารีแบรนด์กัน ด้วยความที่ไก่ทอดสามารถทดแทนมื้อหนึ่งของคนได้ และผมคิดว่ายังไงคนก็ต้องกิน ซึ่งกลุ่มลูกค้ากว้างมาก แล้วกิจการที่บ้านผมเอง ป๊าผมเขาก็ทำมาเป็น 10 ปีแล้ว เรามีความคิดอะไรใหม่ๆ อยากจะเปลี่ยนสูตร จะทำอะไร เขาก็จะบอกเปลือง อย่างนั้นอย่างนี้ เลยทำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งนะครับ ยังช่วยดูอยู่ อย่าง 2-3 ปีที่ผ่านมาก็ขยั้นขยอให้ป๊าทำแบรนด์ขนมปัง ตอนนี้ก็ได้แบรนด์ชื่อ “เพิ่มบุญ” ขึ้นมาครับ เพียงแต่เราก็อยากมีอะไรที่เป็นของตัวเองจริงๆ ดูบ้าง ก็เลยตั้งเป็นชื่อ “ไก่ทอดอร่อยเหาะ” อยู่ภายใต้บริษัทอร่อยเหาะฟู้ด เป็นบริษัทของผมเอง เราเห็นว่ากำไรดีระดับหนึ่ง ก็เลยอยากให้คนที่กำลังหารายได้หลัก หรือรายได้พิเศษเอาไปขายกัน ตอนแรกที่ผมขายแฟรนไชน์ ผมก็ขายให้เขาไปเปิดเองเลย ผมมีอันเดียวคือสาขาที่ทองหล่อ สุขุมวิท 49 ข้างๆ วิลล่า ที่เหลือคนเขาสนใจ เขาก็ขอซื้อไปเปิดกัน พอตอนหลังเพื่อนคุณพ่อเขาเป็นเจ้าของโรงงานผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งสำเร็จรูป ก็เลยไปดิวกับเขา แล้วโรงงานเขาสเกลใหญ่ ได้มาตรฐานสากลครบทุกอย่าง เขาก็คิดราคาทุนๆ ให้ผม ถึงต้นทุนจะกระโดดไปเยอะมาก ถ้าเราทำเอง กำไรจะเยอะกว่า แต่ธุรกิจเราก็จะไม่โต พอเราฝากไว้ตรงนั้นปุ๊บ กำลังเราสามารถส่งได้หมดทั่วประเทศเลย เขาทำให้เราได้หมด
เตรียมโกอินเตอร์
ไก่นะครับ ไม่ใช่ผม (หัวเราะ) คือผมได้โอกาสดี จากทางปั๊ม PT เขาดิวให้ไปขายที่ปั๊มเขาได้เลย ซึ่งปั๊มเขาตั้งเป้าไว้ 100 สาขาในปีนี้ และมีทางกัมพูชา ติดต่อขอรับไปขายด้วยครับ ที่บ้านก็แฮปปี้ ที่เราทำอะไรประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราภูมิใจตัวเองด้วยครับ (ไม่ได้จะสร้างรากฐาน เพื่อเตรียมสร้างครอบครัวใช่ไหม?) ยังครับ มีโอกาสเข้ามาพอดีครับ ก็เลยลองดู(หัวเราะ)
ความรัก
รักครั้งแรกของผมเกิดขึ้นสมัย ม.ปลายครับเขาอยู่เตรียมอุดมฯ แต่พอเข้ามหา’ลัยก็แยกกัน เพราะผมอยู่ธรรมศาสตร์ เขาอยู่จุฬาฯ แล้วผมอยู่หอด้วย ก็เลยห่างๆ กัน ปัจจุบันก็มีคนคุยบ้างครับ คือคุยกับคนเดียวนะ (หัวเราะ) แต่จะเป็นเหมือนเพื่อนกันมากกว่า คือศึกษากันไปก่อนครับ (สเปก?) หมวยๆ เหม่งๆ เป็นสเปกในอุดมคติมาตั้งแต่เด็กๆ เลยครับ (ถ้ายกตัวอย่างดารา?) พี่เต้ย-จรินทร์พร ครับ ผมตามพี่เขามาตั้งแต่ก่อนเข้าวงการแล้วครับ
เป็นหนุ่มหล่อคนขยันที่ไม่อยู่นิ่ง ส่วนใครที่อยากวิ่งตาม เอ้ย!! ติดตาม ชี้ช่องให้ทางไอจี @Panntp เลยค่ะ แล้วจะรู้ว่าหนุ่ม “ปั้น” เสน่ห์แรงมว๊ากก!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี