กลายเป็นประเด็นร้อนหลังการเลือกตั้งขั้นต้น “ซูเปอร์ทิวส์เดย์ครั้งที่ 3” ที่ผ่านมา เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ ออกมาเตือนว่าหากเขาไม่ได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน จะนำไปสู่การจลาจล
หลังการเลือกตั้ง Super Tuesday ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นใน 5 รัฐ ได้แก่ รัฐฟลอริดา, อิลลินอยส์, นอร์ท แคโรไลนา, โอไฮโอ และมิสซูรี การเมืองในสหรัฐก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะความขัดแย้งภายในพรรครีพับลิกัน ของกลุ่มแกนนำและผู้ก่อตั้งพรรค หรือที่เรียกว่า Establishment ที่ยังพยายามสกัดนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ให้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ แม้ว่าทรัมป์ จะสามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งไปได้ถึง 4 รัฐ คือรัฐฟลอริดา, อิลลินอยส์ นอร์ท แคโรไลนา และมิสซูรี โดยรัฐฟลอริดาถือเป็นรัฐที่สำคัญเนื่องจากมีจำนวนผู้แทนพรรคมากถึง 99 เสียง ซึ่งผู้ชนะในรัฐนี้ในส่วนของพรรครีพับลิกันนั้นจะได้คะแนนไปทั้งหมด หรือที่เรียกว่า “Winner Take All” มีเพียงรัฐโอไฮโอ ซึ่งมีผู้แทน 66 เสียง ที่ทรัมป์ พ่ายแพ้ให้กับเจ้าของถิ่น คือ จอห์น เคสิช ผู้ว่าการรัฐโอไฮโอ
ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ของทรัมป์ โดยเฉพาะชัยชนะในรัฐฟลอริดา ทำให้นายมาร์โก รูบิโอ ซึ่งเป็น สว.ของรัฐนี้ ต้องประกาศถอนตัวจากการแข่งขัน นับเป็นชัยชนะที่ทำให้ทรัมป์เข้าใกล้เป็นตัวแทนพรรคเข้าไปทุกที โดยได้คะแนนผู้แทนไปแล้ว 673 เสียง จากคะแนนผู้แทนที่จำเป็นต้องได้ 1,237 เสียง ในการเป็นตัวแทนพรรค
ทางด้านนายรูบิโอ ยอมรับว่าหากเขาแข่งขันต่อไปก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะได้ แต่ก็เตือนว่า “การเมืองที่สร้างความขุ่นเคือง” ไม่เพียงทำให้เกิดความแตกแยกภายในพรรค แต่กำลังจะทำให้ชาติเกิดความแตกแยก เพราะมีความคิดเห็นทางการเมืองที่ต่างกัน
รูบิโอ บอกว่า อเมริกา กำลังอยู่ใจกลางพายุทางการเมืองอย่างแท้จริง โดยย้ำว่ารุนแรงเหมือนคลื่นยักษ์สึนามิ และกำลังจะเห็นสิ่งนี้ปรากฏขึ้นในเร็วๆ นี้
ขณะเดียวกัน รูบิโอ ยังวิจารณ์ กลุ่มแกนนำภายในพรรค ที่มองข้ามกลุ่มหัวอนุรักษ์ โดยเห็นว่าเป็นพวกที่ไม่ประสีประสา โดยคิดว่ายังไงก็ได้เสียงสนับสนุนจากคนกลุ่มนี้ แต่แท้จริงแล้วกลับเพิ่มความสับสนให้กับพวกพ้องของตนเองด้วยคำว่าทุนนิยม
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จะเห็นว่าการหาเสียงได้เปลี่ยนจากการโจมตีในเรื่องนโยบายเป็นเรื่องส่วนตัว ขณะที่ยังมีความพยายามภายในพรรครีพับลิกัน ในการสกัดไม่ให้ทรัมป์ ได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรค ซึ่งก็ยังมีความเป็นไปได้ เพราะการที่ทรัมป์ พ่ายแพ้ในรัฐโอไฮโอ ทำให้เขามีโอกาสที่จะได้คะแนนผู้แทนถึง 1,237 เสียง ซึ่งเป็นคะแนนเด็ดขาดที่จะทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเพียงร้อยละ 60 นอกจากนี้ยังเหลือผู้สมัครอีก 2 คน คือ จอห์น เคสิช ผู้ว่าการรัฐโอไฮโอ และเท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกจากรัฐเท็กซัส ที่ยังเป็นความหวังของรีพับลิกัน
แต่ทรัมป์ ก็ได้ออกมาเตือนว่า หากเขาไม่ได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคเพราะคะแนนผู้แทนไม่ถึงเสียงที่กำหนด อาจจะเกิดการจลาจลอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ซึ่งคำเตือนของทรัมป์ ก็ดูเหมือนจะมีน้ำหนัก หากวัดจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการปราศรัยหาเสียงของเขา
การหาเสียงแนวดุดันเผ็ดร้อนของทรัมป์ เป็นต้นเหตุให้เกิดการปะทะกันในที่ชุมนุมหาเสียงระหว่างกลุ่มที่สนับสนุนและต่อต้านทรัมป์ ซึ่งนายจอห์น เคสิช ผู้สมัครในพรรคเดียวกัน ยังกล่าวโจมตีนายทรัมป์ว่า สร้างบรรยากาศความเกลียดชังด้วยการใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อกลุ่มต่างๆ เช่น ผู้อพยพเข้าเมืองชาวเม็กซิโกและชาวมุสลิม อีกทั้งยังใช้คำพูดหยาบคายใส่ผู้ประท้วง จนกลายเป็นความรุนแรง แต่นายทรัมป์ก็ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าตัวเขาเป็นต้นเหตุให้เกิดความตึงเครียด และประณามกลุ่มที่ต่อต้านเขาว่าเป็นม็อบจัดตั้ง
นิค ไบรอันท์ นักวิเคราะห์จาก สำนักข่าวบีบีซี ระบุว่า ในขณะนี้ ทรัมป์ขยับเข้าไปใกล้ตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกัน มากขึ้นทุกขณะ สิ่งที่น่าจับตาก็คือ แม้ว่าทรัมป์จะได้รับการต่อต้านอย่างกว้างขวาง ทั้งจากสังคมอเมริกัน และแกนนำในระดับวุฒิสมาชิกของพรรค จากการที่มหาเศรษฐีผู้นี้ มีนโยบายสุดโต่ง ในการเหยียดเชื้อชาติ และศาสนา ควบคู่ไปกับการใช้ถ้อยคำที่รุนแรง แต่จนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่มีใครหยุดเขาได้
จุดเด่นของทรัมป์ คือการเป็นนักการตลาดชั้นเยี่ยม ที่สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้อย่างไม่น่าเชื่อ อาทิ การกล่าวชื่นชมป้ายต่อต้านที่นำภาพของตัวเขา พร้อมกับคำสบถหยาบคาย เพื่อหวังทำลายความน่าเชื่อถือ แต่สิ่งที่ทรัมป์ทำก็คือ ยกย่องผู้ทำป้ายว่าช่างนำตัวตนของเขามานำเสนอได้ดีเหลือเกิน ท่าทีเช่นนี้ กลุ่มที่ต่อต้านทรัมป์ลำบากแน่นอน
นอกจากภาพของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนอกจากภายในพรรคเดียวกันแล้ว การโจมตีของฝ่ายตรงข้ามจากพรรคเดโมแครตก็สะท้อนให้เห็นความแตกแยกของผู้ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองต่างกัน โดยนางฮิลลารี คลินตัน และนายเบอร์นีย์ แซนเดอร์ส 2 ผู้ชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครต ต่างกล่าวหาว่านายทรัมป์ เป็นผู้ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง โดยนางคลินตันเรียกนายทรัมป์ว่า เป็นคนหัวดื้อและเป็นนักวางเพลิงทางการเมือง ส่วนนายแซนเดอร์สบอกว่า นายทรัมพ์เป็นโรคโกหกตัวเอง
ในส่วนของเดโมแครตนั้น คะแนนผู้แทนของนายแซนเดอร์ส ยังตามหลังฮิลลารี คลินตัน เกือบครึ่งหนึ่ง โดยการเลือกตั้งขั้นต้นครั้งล่าสุด ซึ่งมีคะแนนผู้แทน 691 เสียงเป็นเดิมพัน ปรากฏว่านางฮิลลารี คลินตัน ชนะ นายเบอร์นีย์ แซนเดอร์ส คู่แข่งไปถึง 5 รัฐ คือ รัฐฟลอริดา นอร์ท แคโรไลนา อิลลินอยส์ โอไฮโอ และมิสซูรี ซึ่งในรัฐนี้ทั้งคู่มีคะแนนสูสีกันมาก โดยนางคลินตันได้คะแนนไปร้อยละ 49.6 ส่วนนายแซนเดอร์สได้ไปร้อยละ 49.4
และชัยชนะใน 5 รัฐครั้งนี้ก็ทำให้นางคลินตันได้คะแนนผู้แทนไปแล้วถึง 1,606 เสียง ขณะที่นายแซนเดอร์สได้ไปเพียง 851 เสียง ส่วนการเลือกตั้งขั้นต้นครั้งต่อไป จะจัดขึ้นในวันอังคารที่ 22 มีนาคมนี้ ที่รัฐแอริโซนา ยูท่าห์ และไอดาโฮ
สำหรับชัยชนะครั้งนี้ดูเหมือนจะสร้างความมั่นใจให้คลินตัน ถึงกับส่งสัญญาณทางความคิดออกมาอย่างชัดเจนว่าเธอเตรียมจะดวลกับทรัมป์ในศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ ช่วงปลายปี โดยบอกว่า “เราจะสูญเสียสิ่งที่ทำอเมริกายิ่งใหญ่ไปไม่ได้ ไม่ใช่แค่เรื่องโดนัลด์ ทรัมป์ เราไม่ควรพูดถึงเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องแก้ไขความไม่เท่าเทียมและการกีดกันทุกรูปแบบด้วย”
ขณะที่ผลสำรวจพบว่า คนอเมริกันร้อยละ 28 มีแผนย้ายครอบครัวไปอยู่ต่างประเทศ หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปีนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี