" ผมอยากให้ประเทศไทยลองมาวิเคราะห์คุณภาพการศึกษาไทยอย่างลึกซึ้งสักที ใครก็ได้ จะให้ต่างชาติมาวิเคราะห์ก็ได้ ถ้าเราไม่มีฝีมือ แต่ผมเชื่อว่าคนไทยมีฝีมือวิเคราะห์ได้ แต่ต้องอย่าให้ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงมาวิเคราะห์ เพราะเขาจะเข้าข้างตัวเอง ใครก็ได้มาวิเคราะห์ และผมเชื่อว่า ท่านจะพบความจริงว่า ยังมีหลายพื้นที่ในระบบการศึกษาไทยที่ต้องปรับเปลี่ยนอย่างรุนแรงจริงๆ. ในอดีตมีคนไทยที่ปรารถนาดีอยากจะปฏิรูปการศึกษามาโดยตลอดแต่บางครั้งนโยบายที่ได้คิดไว้ในตอนนั้นพอมาถึงวันนี้มันอาจจะเป็นสิ่งซึ่งมันไม่ได้ทำให้ดีขึ้น มันทำให้เลวลง อันนี้ต้องหาคนที่เป็นกลางมาวิเคราะห์ แต่ข้อคิดของผม. การศึกษาสำคัญมาก สำคัญที่สุดเลยในการที่จะสร้างประเทศและฟื้นประเทศ จะต้องวิเคราะห์ระบบการศึกษาตัวเอง เพราะระบบที่สร้างไว้ในอดีตอาจดีสำหรับอดีต พอมาถึงวันนี้มันอาจใช้ไม่ได้แล้วก็ได้ต้องทำใจตรงนี้ต้องทำใจกว้างที่จะเปลี่ยน มิฉะนั้นจะตามเขาไม่ทัน"
ข้อความทั้งหมดเป็นความรู้สึกของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ. เกษม วัฒนชัย นายแพทย์ผู้มีส่วนสำคัญในการจุดประกายสร้างแพทย์ชนบทขึ้นในประเทศไทย , องคมนตรีและประธานกรรมการมูลนิธิปิดทองหลังพระ. สืบสานแนวพระราชดำริ และ อดีตปลัดทบวงมหาวิทยาลัย , อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
แนวคิดดังกล่าวเปิดเผยเอาไว้ก่อนที่สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่ได้อยู่ภายใต้ การบริหารราชการของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ในเวลานี้ ในตอนนั้น ถึงแม้ว่าจะมีคนในประเทศเห็นด้วยกับแนวความคิดของท่าน แต่ในด้านการนำไปปฏิบัติย่อมเป็นไปได้ยากเพราะผู้ที่มีอำนาจในการบริหารราชการ ยังไม่มีความเป็นหนึ่งเดียว เนื่องจาก แต่ละพรรคการเมือง แต่ละผู้ที่มีอำนาจในการสั่งการ ไม่ได้มองถึงประโยชน์ของชาติเป็นตัวตั้ง แต่กลับมองถึงผลประโยชน์ของตัวเองและกลุ่มการเมืองของตัวเองเป็นสำคัญ จึงทำให้การจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเดินไปได้ไม่สะดวกและไม่ตรงกับเป้าหมาย ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นก็กลายเป็น การเติมยาพิษลงไปแทนที่จะเกิดยารักษาโรคเพื่อแก้ไขโรคร้ายที่เกิดขึ้นกับการศึกษา
ณ วันนี้ ณ ช่วงเวลา ซึ่งเป็นช่วงของความเป็นเอกภาพ ที่เกิดกลุ่มคนที่มีเจตจำนงอย่างแท้จริงในการสร้างสรรค์ประเทศชาติให้เป็นไปในทางที่ดีโดยยึดถือประโยชน์ประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ หากจะนำแนวคิดของ ท่านเกษม วัฒนชัย มาเป็นโจทย์ตัวหนึ่งของการสร้างสรรค์งานด้านการศึกษา น่าจะมีแนวโน้มที่น่าลงทุน หรือน่าปฏิบัติอย่างมากทีเดียว เพราะ การศึกษา เป็นปัจจัยหลักของมวลมนุษย์ชาติ อันมีความสำคัญพอๆกับ บ้านที่อยู่อาศัย อาหารและยารักษาโรค ซึ่งจะขาดมิได้ในสังคมโลกปัจจุบันนี้
ดังนั้นการจะนำเอาข้อมูลดังกล่าวเก็บมาคิดแล้วนำไปใช้ปฏิบัติ น่าจะเป็นองค์ประกอบองค์ประกอบหนึ่งที่จะสร้างสรรค์ให้ชาติก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ซึ่งจะรอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ชนิตร ภู่กาญจน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี