18 ก.พ.58 พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำและอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ แสดงความคิดเห็นกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาปฏิรูปพระพุทธศาสนา หลังจากที่ผ่านมาศาสนาประจำชาติมีอันต้องมัวหมองตกต่ำ โดยเฉพาะพฤติการณ์ของพระสงฆ์ และองค์กรของวัดพระธรรมกาย ที่เปรียบเสมือนโรคภัยไข้เจ็บคุกคามคนไข้ (คนในชาติ) ถึงขั้นทรุดหนัก ยากเกินจะเยียวยา
โดย พล.ต.อ.วสิษฐ เสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจพิเศษในฐานะหัวหน้าคสช.หรืออำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2557 ระงับยับยั้งการกระทำใดๆ ของวัดพระธรรมกาย จนกว่าจะได้วางมาตรการที่รัดกุมและชัดเจนเกี่ยวกับวัดและพระเรียบร้อยแล้ว
วสิษฐ เดชกุญชร
ผมมีความยินดีที่ได้ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบกำกับดูแลเรื่องวัดและพระที่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า และที่ร่ำรวยผิดปกติ และยินดีด้วยที่ทราบว่าในขณะเดียวกันสภาปฏิรูปแห่งชาติก็ได้ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาขึ้น โดยมีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน และคณะกรรมการได้ประชุมกันเป็นนัดแรกไปเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านไปนี้
ปัญหาเกี่ยวกับวัดและพระในศาสนาพุทธเป็นปัญหาที่ถูกทอดทิ้งและหมักหมมเรื้อรังไม่มีผู้ใดเอาใจใส่ที่จะแก้อย่างแท้จริงมานาน ถ้าจะเปรียบกับโรคภัยไข้เจ็บ อาการของคนไข้ก็ทรุดหนักมานานแล้ว แต่ก็เช่นเดียวกับโรคภัยไข้เจ็บ หมอไม่มีสิทธิที่จะบอกว่าหมดหวังและต้องหยุดรักษา หากแต่จะต้องพยายามบำบัดจนกว่าจะถึงที่สุด เพราะคนไข้ในที่นี้คือคนไทยทั้งชาติ
ตัวอย่างหนึ่งของโรคร้ายที่เกาะกินพระพุทธศาสนามานานจนกำเริบ และทำให้คนไข้มีอาการทรุดหนักลง คือพฤติการณ์ของวัดพระธรรมกาย วัดนี้ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2513 นับตั้งแต่นั้นมาพระวัดพระธรรมกายได้เผยแผ่คำสอนที่ผิดแผกแตกต่างไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ในขณะเดียวกัน วัดพระธรรมกายก็ใช้คำสอนที่ผิดแผกนั้นเองไปทำให้คนเป็นจำนวนมากหลงเชื่อและบริจาคเงินให้วัดเป็นมูลค่ามหาศาล จนสามารถก่อสร้างถาวรวัตถุอย่างใหญ่โตมโหฬาร และขยายกิจกรรมนอกศาสนาออกไปอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง
เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายคือพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ สุทธิผล) นั้นเป็นตัวการผู้เผยแผ่คำสอนนอกศาสนา เช่น สอนว่านิพพานเป็นอัตตา สอนว่าธรรมกายคือตัวตนของพระพุทธเจ้ามากมายหลายพระองค์รวมกันอยู่ใน “อายตนนิพพาน” ซึ่งเป็นเสมือนดินแดนที่ผู้ทำสมาธิตามแบบของวัดพระธรรมกาย สามารถจะเข้าไปเฝ้าและถวายข้าวแด่พระพุทธเจ้าได้
พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ สุทธิผล) ผู้นี้เคยต้องคดียักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกายเป็นมูลค่ากว่า 959 ล้านบาท แต่พนักงานอัยการถอนฟ้องด้วยเหตุผลว่าได้นำที่ดินและเงินคืนให้แก่วัดพระธรรมกายแล้ว และแม้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก จะได้ทรงมีพระลิขิตว่าพระเทพญาณมหามุนีต้องอาบัติปาราชิก และพ้นจากสมณเพศแล้ว แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามหาเถรสมาคมได้ดำเนินการสนองพระลิขิตนั้นอย่างใด นายไชยบูลย์กลับได้เป็นพระภิกษุในสมณศักดิ์เดิมอีก
การที่นายกรัฐมนตรีปรารภและสั่งให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) ดำเนินการเกี่ยวกับวัดและพระที่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้าและร่ำรวยผิดปกติ และการที่สภาปฏิรูปแห่งชาติหยิบยกเอาเรื่องการปกป้องพระพุทธศาสนาขึ้นมาพิจารณานี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องและน่ายินดี แต่มาตรการทางบริหารโดยรัฐมนตรีก็ดี มาตรการด้านการปฏิรูปโดยสภาปฏิรูปแห่งชาติก็ดี ย่อมจะต้องล่าช้าและกินเวลา ในขณะเดียวกันวัดและพระที่มีพฤติการณ์นอกศาสนา โดยเฉพาะวัดพระธรรมกาย ซึ่งมีกำลังซื้อมหาศาล ก็ย่อมจะทำความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนาต่อไปได้โดยไม่หยุดยั้ง
จึงสมควรที่นายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจพิเศษในฐานะที่เป็นหัวหน้าคณะส่งเสริมความสงบแห่งชาติ หรืออำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2557 ระงับยับยั้งการกระทำใดๆ ของพระวัดพระธรรมกายเอาไว้ก่อน จนกว่ารัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและคณะกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติจะได้วางมาตรการที่รัดกุมและชัดเจนเกี่ยวกับวัดและพระเรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณ : http://chaoprayanews.com/blog/wasit
อ่านข่าวเกี่ยวข้อง
พศ.พูดชัด!!ไร้น้ำยาสึก'ธัมมชโย' จี้รัฐเชือดตามพระลิขิต'สังฆบิดร'
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี