23 ก.พ.58 ที่รัฐสภา นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา แถลงภายหลังการประชุมเพื่อพิจารณากรณีที่ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตผู้จัดการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงเงินประชาชนกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท บริจาคเงินให้กับพระธัมมชโย และวัดธรรมกาย เป็นเงินกว่า 829 ล้านบาท ว่า ได้เชิญตัวแทนจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มาชี้แจงเกี่ยวกับเส้นทางการเงิน พบว่า มีการสั่งจ่ายเช็ค 8 ฉบับให้กับพระธัมมชโย เป็นเงิน 348,780,000 บาท และสั่งจ่ายให้วัดพระธรรมกาย 419 ล้าน ให้พระปลัดวิจารณ์อีก 119 ล้านบาท
สำหรับเส้นทางการเงินของพระธัมมชโยนั้น มีการสั่งจ่ายเข้าบัญชีเดียวคือ มูลนิธิอุบาสิกาจันทร์ ส่วนเช็คของวัดธรรมกายมีการอ้างว่าจ่ายเป็นค่าก่อสร้าง และในส่วนของพระปลัดวิจารณ์ทั้ง 119 ล้าน มีการถอนเป็นเงินสดออกไปหมด ซึ่ง ปปง.แจ้งว่าบังคับคดีในส่วนที่ไปก่อสร้างไม่ได้ เพราะเป็นที่ธรณีสงฆ์ ส่วนของพระธัมมชโยจะใช้วิธีฟ้องทางแพ่ง เพราะยังเหลือเงินสดอีก 300 กว่าล้านบาท ทั้งนี้ กรรมการเห็นว่า ปปง.ต้องอายัดเงินทั้งหมดเพื่อคืนให้กับประชาชนพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นการบรรเทาความเสียหายที่ถูกฉ้อโกง
นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า กรรมการได้แนะนำให้ ปปง.ไปตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่วัดพระธรรมกาย เพราะการอ้างว่านำเงินไปก่อสร้างนั้นวัดธรรมกาย มีพื้นที่เขตเพียง 116 ไร่ ส่วนที่เหลืออีกพันกว่าไร่ถือในนามมูลนิธิธรรมกาย และมูลนิธิอื่น จึงไม่ถือเป็นที่ธรณีสงฆ์ สามารถยึดได้ และเมื่อมีการกระทำความผิดต้องมีการขยายผลติดตามทุกบัญชีที่เกี่ยวข้องด้วย นอกจากนี้ ในส่วนของพระปลัดวิจารณ์ กรรมการฯ เห็นว่า ปปง.ควรต้องดำเนินคดีเกี่ยวกับการเงิน ส่วนดีเอสไอต้องดำเนินคดีอาญา
ทั้งนี้ นายไพบูลย์ ยังกล่าวถึงมติมหาเถรสมาคม (มส.) ที่ยืนยันว่าพระธัมมชโยไม่ปาราชิก และมีการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชทั้ง 3 ฉบับแล้ว ว่า เป็นเรื่องที่กรรมการไม่เห็นด้วย เพราะมติดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขัดพระธรรมวินัย เป็นการยกเลิกพระลิขิต ซึ่งถือเป็นพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช ที่ใช้อำนาจตามมาตรา 8 ของ พ.ร.บ.สงฆ์ โดยมีเนื้อหาระบุชัดเจนว่า พระธัมมชโยปาราชิกไปแล้วโดยอัตโนมัติ หลังจากไม่คืนทรัพย์สินให้วัด ในวันที่ 5 เม.ย.42 จึงต้องจัดการโดยเด็ดขาด เช่นเดียวพระที่ปลอมเป็นพระ
อีกทั้งยังมีมติมหาเถรสมาคมครั้งที่ 193/2542 รับรองพระลิขิตและให้สนองพระดำริของสมเด็จพระสังฆราชด้วย ดังนั้น จึงถือว่ามติมหาเถรสมาคมในปี 2549 และวันที่ 22 ก.พ.58 เป็นการบิดเบือนพระลิขิตทั้ง 3 ฉบับ และไม่เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 193/2542 โดยหวังว่าจะมีการดำเนินการให้เป็นผลในทางปฏิบัติ แต่ถ้าไม่มีการจัดการในเรื่องนี้ ก็เชื่อว่าสังคมคงจะยอมรับไม่ได้ โดยพุทธศาสนิกชนต้องช่วยกันกดดันให้มีการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี