16 มี.ค. 61 ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษกว่า เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีปลอมตั๋วเงิน หมายเลขดำอ.134/2559 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา อายุ 43 ปี หรือ เดอะบิ๊ก อดีตประธานสโมสรทีมฟุตบอลเพื่อนตำรวจ ในศึกไทยลีกและนายสิทธินันท์ หลอมทอง อายุ 36 ปี กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัดร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 , 266 (4) ,268
ตามฟ้องของอัยการโจทก์เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2559 ระบุพฤติการณ์ความผิดของจำเลยสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 27 ธ.ค.2556 – 21 ก.ค.2557 จำเลยกับ บริษัทบิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด โดยนายสิทธินันท์ หลอมทอง กรรมการผู้มีอำนาจ และในฐานะส่วนตัว กับพวกของจำเลย ได้ร่วมกันปลอมเอกสารตั๋วแลกเงิน หรือดราฟท์ ( Draft ตราสารที่ธนาคารจะเป็นผู้ออกให้ใช้สำหรับการเรียกเก็บหรือชำระเงินค่าสินค้าต่างๆที่จะระบุว่าให้บุคคลใดจ่ายเงินให้แก่บุคคลใด) ทั้งฉบับของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ แบงก์กิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยพวกจำเลยร่วมกันนำกระดาษที่มีลวดลาย พิมพ์ด้วยอักษรภาษาอังกฤษสีเทาจางๆ
ในชื่อของธนาคารดังกล่าวเรียงต่อกันจนเต็มพื้นที่หน้ากระดาษ และตัดให้มีขนาดประมาณ 8 x 20 ซม.ใกล้เคียงกับขนาดแบบฟอร์มตั๋วแลกเงิน ฉบับตัวจริง และพิมพ์อักษรตัวย่อภาษาอังกฤษ ของ HSBC ตามด้วยเครื่องหมายของธนาคารบนมุมด้านซ้ายมือ รวมทั้งการพิมพ์หมายเลข , วันที่ แสดงไว้สำหรับการสั่งจ่ายเงินก่อนที่จะนำตั๋วแลกเงินปลอม มูลค่า 100 ล้านดอลล่าร์สหรัฐหรือประมาณ 3,200 ล้านบาทไปแสดงต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กระทรวงศึกษาธิการ ผู้เสียหาย จนหลงเชื่อว่า เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันตั๋วสัญญาใช้เงินของ บริษัท บิลเลี่ยนฯ จำนวน 2,100 ล้านบาท ที่จำเลยกับพวกร่วมกันนำมาหลอกขายให้ สกสค. ทำให้สกสค.เชื่อว่า พวกจำเลยสามารถหาหลักทรัพย์ที่มีความน่าเชื่อถือเทียบเท่ากับธนาคารเป็นอาวัล ( การรับประกัน การใช้เงินตามตั๋วเงิน) กระทั่งคณะกรรมการบริหารกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ชพค.ยึดถือไว้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
การที่จำเลยกับพวกนำตั๋วสัญญาใช้เงินปลอมมาหลอกขายให้กับ สกสค.ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า เป็นของปลอม จึงเป็นความผิด โจทก์จึงขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 , 266 (4) ,268
จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดีโดยไม่ได้รับการประกันตัวตั้งแต่ชั้นจับกุม -ฝากขัง และถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพเรื่อยมา
ศาลพิเคราะห์คำเบิกควา ม และพยานหลักฐานที่โจทก์ – จำเลย นำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลย ทั้งสอง เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (4),268วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้ร่วมกันปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอมนั้นเอง
พิพากษาลงโทษฐานร่วมกันใช้ตั๋วเงินปลอมเพียงกระทงเดียว ตามมาตรา 268 วรรคสอง ให้จำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ 10 ปี ริบของกลาง
ภายหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว ปรากฏว่านายสัมฤทธิ์ หรือ เดอะบิ๊ก อดีตประธานสโมสรฟุตบอลทีมเพื่อน ตำรวจและนายสิทธินันท์ ถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการกล่าวหาความผิดดังกล่าว สืบเนื่องจากได้มีการกู้เงินกับกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้กองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) จำนวน 3 ครั้ง มูลค่ารวมกว่า2,000 ล้านบาท แต่ต่อมาทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู และบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ตรวจสอบพบว่า ไม่ได้มีการทำเรื่องกู้ที่ถูกต้องตามขั้นตอน เนื่องจากการกู้ยืมดังกล่าวไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจาก สกสค. และยังพบว่าเอกสารที่ใช้ในการกู้ยืมเป็นเอกสารปลอม ไม่สามารถใช้เป็นเอกสารหรือหลักฐานในการค้ำประกันเงินกู้ได้จริง จึงร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ตรวจสอบและดำเนินคดีกับจำเลยในที่สุด
สำหรับ นายสัมฤทธิ์ หรือเดอะบิ๊ก ได้รับฉายาว่า “ปาเกียว เมืองไทย” เนื่องจากมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับ "เดอะ แพ็คแมน" แมนนี่ ปาเกียว นักชกชื่อดังแชมป์โลกขวัญใจชาวฟิลิปปินส์ ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.1จับกุมตัวเมื่อวันที่ 19 ม.ค.2559
ส่วน นายสิทธินันท์ ถูกตำรวจสน.ดุสิต จับกุมตัวเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2559
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี