13 มิ.ย.56 ผู้สื่อข่าวรายงานจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขว่า กรมสุขภาพจิตได้ร่วมกับ สสค. เปิดเผยถึงโครงการ "เด็กไทย IQ เกิน 100" ภายใต้โครงการพัฒนาระบบการจัดการเชิงพื้นที่ในการเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพและการให้บริการส่งเสริมพัฒนาการและเชาวน์ปัญญาเด็กไทย ณ ห้องประชุมกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า อัตราการเกิดของเด็กไทยปัจจุบันเฉลี่ย 800,000 คนต่อปี ในจำนวนนี้มีเด็กที่พัฒนาการล่าช้าอยู่ถึง 240,000 คนต่อปี หรือราว 30% ซึ่งหากพ่อแม่รู้ก็สามารถเปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาสการพัฒนาได้ โดยสะท้อนได้จากจำนวนเด็กที่มีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานหรือ IQ ต่ำกว่า 100 พบสูงถึง 49% รวมถึงความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ดังนั้น หากเด็กได้รับการดูแลตั้งแต่ 0-5 ปีอย่างต่อเนื่อง 90% สามารถแก้ปัญหาพัฒนาการล่าช้าได้ ด้วยวิธี “กิน กอด เล่น เล่า" ซึ่ง การกิน หมายถึงการมีโภชนาการที่ดี การกอด คือการสัมผัส เพิ่มเรื่องอาหารใจ การเล่นกับเด็ก ด้วยของเล่นมีชีวิต และการเล่านิทาน เป็นต้น
ขณะที่ ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สสค. กล่าวถึง IQ เด็กไทยว่า ขณะนี้อยู่ที่ 98.6 การตั้งเป้าหมายภายในปี 2559 จะพัฒนา IQ เด็กไทย เกิน 100 จึงไม่น่าไกลเกินเอื้อม ขณะที่แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 หรือของกระทรวงสาธารณสุข ก็พูดเรื่องนี้เอาไว้เช่นกันว่า จะพัฒนา IQ เด็กไทยเกิน 100 ภายในปี 2559 แต่การพัฒนาเด็กช่วง 0-5 ปี ซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่สมองจะพัฒนาการได้มากที่สุดเพื่อให้ได้ดีนั้น จะมองเฉพาะด้านนโยบายอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำในเชิงพื้นที่ด้วย
“จะสังเกตว่า อัตราความล้มเหลวทางการเรียนเกิดขึ้นตรงชั้น ป.1 มากสุด นี่คือรอยต่อ พัฒนาการเด็ก 0-5 ปี ซึ่งกลายเป็นตัวเลขฟ้องชัด ระบบการดูแลเด็กเล็กของเราไม่ดีเลย และจะลากยาวไปเรื่อยๆ ยิ่งเด็กอยู่ในชนบท โรงเรียนขนาดเล็ก เด็กไทยก็จะหลุดจากระบบไปเรื่อยๆ อย่างเก่งกลายเป็นกำลังคนที่กินค่าแรงขั้นต่ำ หรือหนักกว่านั้น กลายเป็นเด็กที่สร้างปัญหาให้กับสังคม
สำหรับพื้นที่นำร่องทำงานเพื่อพัฒนา IQ/EQ นั้น ดร.อมรวิชช์ กล่าวด้วยว่า จะเริ่มทำใน 4 จังหวัด 9 อำเภอ ได้แก่ ภาคเหนือ จ.เชียงราย ภาคกลาง จ.พระนครศรีอยุธยา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.สุรินทร์ และภาคใต้ จ.ภูเก็ต ให้เป็นหน่วยจัดการเชิงพื้นที่ทำงานร่วมกัน
ด้าน ดร.เบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า ปัจจุบันจำนวนเด็กบกพร่องการเรียนรู้ ประกอบด้วย สมาธิสั้น แอลดี เรียนช้า และออทิสติก มีถึง 12-13% ของประชากรเด็กทั้งหมด กว่าจะถูกคัดกรองจากระบบโรงเรียนก็สายไปเสียแล้ว
“จากข้อมูลของสมาคมแอลดีแห่งประเทศไทยพบว่า ขณะมีมีการคัดกรองเด็กในระบบโรงเรียนจำนวน 140,000 คน แต่ยังมีเด็กที่มีสัญญาณบกพร่องการเรียนรู้อีกถึง 900,000 คน นั่นคือมีเด็กกว่า 700,000 คนที่ขาดการดูแลอย่างถูกต้องและมีความเสี่ยงต่อการล้มเหลวในการเรียนและการหลุดออกจากระบบการศึกษา”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี