จับได้แล้ว! เจ้าหน้าที่ยิงยาสลบเสือโคร่ง'บะลาโกล'หลังข้ามถิ่นหิวโซกินหมูชาวบ้าน ก่อนนำตัวไปพักฟื้นห้วยขาแข้ง อัพเดทอาการล่าสุดพบเครียดเล็กน้อย เตรียมฟื้นฟูปล่อยสู่ป่าธรรมชาติต่อไป
เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 22.00 น. วานนี้ (19ก.พ.2567) ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานการตามจับตัว "บะลาโกล” เสือโคร่งข้ามถิ่นจากอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มาหากินในเขตอุทยานแห่งชาติคลองลาน จ.กำแพงเพชร ได้กินหมูชาวบ้านไป และหมายจะมาสร้างอาณาจักรเป็น เสือโคร่งคลองลาน โดยทีมนักวิจัยเสือที่ติดตามตั้งชื่อให้เป็นภาษากะเหรี่ยงว่า “บะลาโกล” แปลว่า “คลองลาน” ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติคลองลาน ร่วมปฏิบัติการติดตามหาร่องรอยเสือโคร่งสามารถยิงยาสลบเสือโคร่งดังกล่าวได้แล้ว
โดยนายสุรชัย โภคะมณี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติคลองลาน ร่วมปฏิบัติการติดตามหาร่องรอยเสือโคร่ง โดยการปรับแนวทางปฏิบัติงานตามสถานการณ์ ตลอดเวลา 5 วัน โดยให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติคลองลาน 50 นาย แบ่งกำลังคอยเฝ้าระวังทั้งในหมู่บ้านและควบคุมพื้นที่ปิดล้อมป่ามะขาม และป่าไผ่ เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่
ส่วนคณะทำงานของสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้งและเจ้าหน้าที่สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ จ.อุทัยธานี ได้ร่วมกันตรวจสอบบริเวณที่ติดกับดักเอาไว้ แต่เสือโคร่งยังไม่ติดกับดักแต่อย่างใด กระทั่งกลางดึกเวลาประมาณ 21.50 น. วันที่ 19 ก.พ. กล้อง camera trap จากองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF ประเทศไทย) จับภาพเสือโคร่งเดินย้อนเส้นทางจากหลังวัดน้ำตก สำนักวิปัสนากรรมฐานน้ำตกคลองลาน เข้ามากินเหยื่อที่ทำการล่อไว้ แล้วติดกับดักที่ขา จากนั้นทีมยิงยาสลบที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ ได้ยิงยาสลบเข้าไป 1 เข็ม
ขณะที่นายสัตวแพทย์ประจำสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้งได้รุดเข้าทำการวางยาสลบและประสานเจ้าหน้าที่อุทยานที่อยู่รอบนอกรีบหามร่างเสือโคร่งนำออกมาจากป่า ตรวจสุขภาพ แล้วนำเข้ากรงที่นำมารอไว้อย่างรีบเร่ง เนื่องจากเกรงหมดฤทธิ์ยา และกันไม่ให้ถ่ายภาพและบันทึกภาพ มีการคลุมผ้าดำปิดกรงนำใส่รถปิกอัพของหน่วยงาน เพื่อเดินทางไปที่สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ปาห้วยขาแข้ง ต.ระบำ อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี ระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร
จากการตรวจสอบสุขภาพเสือโคร่งเบื้องต้นเป็นเสือโคร่งเพศเมีย อายุประมาณ 2 ปี 1ความยาวลำตัวประมาณ 1.50 เมตร สูงประมาณ 60 เซนติเมตร ร่างกายอ้วนขึ้นจากเดืมเพราะได้กินเหยื่อที่เป็นอาหารไปหลายวันจากการประเมินสุขภาพแล้วไม่เป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิต
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง นายสัตวแพทย์ประจำสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 (นครสวรรค์) จะต้องนำไปดูแลฟื้นฟูบำรุงร่างกายเสือโคร่งดูแลก่อนติดปลอกคอวิทยุติดตามตัวเพื่อตรวจสอบการเคลื่อนที่ของเสือโคร่งก่อนทำการเคลื่อนย้ายเสือโคร่งไปปล่อยสู่ป่าธรรมชาติต่อไป
ส่วนรายละเอียดในเบื้องต้นทางสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 (นครสวรรค์) จะแถลงข่าวและความคืบหน้า พร้อมกับได้มีการกำชับพื้นที่ไม่อนุญาตให้บุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าไป
ขณะที่เฟซบุ๊ก Thailand Tiger project DNP โดยผู้เชี่ยวชาญเรื่องเสือจากกลุ่มนักวิจัยเสือโคร่ง สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ระบุอาการของเสือโคร่งบะลาโกล ว่า "อัพเดต! เสือน้อยจากคลองลาน จากการปฏิบัติการเคลื่อนย้ายเสือโคร่งออกหากินนอกแนวเขตพื้นที่อนุรักษ์ที่ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช
เช้านี้น้องบะลาโกลตื่นขึ้นมาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง สภาพโดยรวมไม่มีปัญหาที่ต้องกังวล มีนายสัตวแพทย์คอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดโดยระบุว่า “มีความเครียดเล็กน้อย ซึ่งเป็นธรรมดาของการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม และตอบสนองต่อเสียงร้องของเสือโคร่งตัวอื่นด้วยการหยุดและฟัง แต่ไม่ได้มีอาการตื่นกลัว สำหรับดวงตาที่ขุ่นและเป็นฝ้าเนื่องจากมีแผลที่กระจกตา หากแห้งได้เองก็ไม่ต้องดำเนินการใดๆ”
การดูแลขั้นต่อไปจะดูแลให้ใกล้เคียงกับความเป็นอยู่ตามธรรมชาติมาดที่สุด หลีกเลี่ยงการสร้างความผูกพันกับพี่เลี้ยง เพื่อที่ได้ปล่อยกลับและดำรงชีพในธรรมชาติได้สำเร็จ
#บะลาโกล ที่แปลว่า คลองลาน
ขอความกรุณางดเยี่ยมชมน้อง ทางเพจจะค่อยตามเสาะข้อมูลมาอัพเดตเป็นระยะ"
ขอบคุณภาพจาก : ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
---017
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี