ความคืบหน้ากรณีเพลิงไหม้บ่อขยะแพรกษา ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงระดมฉีดน้ำดับไฟต่อเนื่อง สกัดเพลิงลุกลาม พร้อมประกาศให้เป็นเขตภัยพิบัติ และสั่งอพยพประชาชนเป็นการด่วน หลังตรวจพบสารก่อมะเร็งเกินค่ามาตรฐาน จากกลุ่มควันที่ฟุ้งกระจายไปยังชุมชนใกล้เคียงหลายพันหลังคาเรือน ขณะที่ควันไฟยังลอยไปไกลถึงหลายเขตของกทม.ด้วย
ระดมดับเพลิงสกัดไฟไหม้บ่อขยะ
นายไพรินทร์ นิ่มเจริญ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสมุทรปราการ เปิดเผยเมื่อวันที่ 17 มีนาคมว่า เหตุเพลิงไหม้บ่อขยะแพรกษานั้น เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม จนถึงขณะนี้ เจ้าหน้าที่ยังระดมฉีดน้ำสกัดเพลิงต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา และสามารถควบคุมเพลิงที่ลุกลามกินพื้นที่ 50 ไร่ ให้อยู่ในวงจำกัดได้แล้ว แต่บางจุดต้องใช้รถขุดตักขนาดเล็กเข้าไปตักขยะที่ไฟคุกรุ่นด้านล่างขึ้นมาฉีดน้ำดับ โดยได้รับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำระยะไกลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มาสนับสนุนการดับเพลิงของเจ้าหน้าที่ ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสั่งการให้นำเฮลิคอปเตอร์จากห้วยขาแข้งมาสนับสนุนการดับไฟอีกทางด้วย
ประกาศพื้นที่ภัยพิบัติ-สั่งอพยพ
ต่อมาเมื่อ เวลา 10.00 น.นายคณิต เอี่ยมระหงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมพล.ต.ต.ธัชชัย หงษ์ทอง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พร้อมประกาศพื้นที่เพลิงไหม้บ่อขยะเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉินแล้ว โดยนายคณิตเปิดเผยว่า จังหวัดประสานขอความช่วยเหลือจากหลายหน่วยงาน ขอเครื่องส่งน้ำระยะไกลและรถแบ็กโฮสะเทินน้ำสะเทินบก จากกรมชลประทาน นำมากดทับขยะให้จมน้ำที่ฉีดลงไป เพื่อให้ไฟดับ เชื่อว่าได้ผลดีกว่าฉีดน้ำอย่างเดียว ส่วนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบได้อพยพออกนอกพื้นที่แล้ว ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเข้ามาดูแลเรื่องสุขภาพประชาชน
เล็งส่งอบต.แจ้งความเอาผิด
สำหรับบ่อขยะดังกล่าวนั้น เป็นบ่อขยะเก่าที่เคยระงับการใช้งานไปแล้ว แต่ยังมีการลักลอบนำขยะเข้ามาทิ้ง ดังนั้น จึงให้องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)แพรกษา เจ้าของพื้นที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจ ส่วนผู้อพยพที่ต้องการแจ้งความ ก็สามารถทำได้ ทางจังหวัดจะรวบรวมรายชื่อผู้เดือดร้อนเพื่อทำการช่วยเหลือต่อไป
คาดใช้เวลาดับไฟหลายวัน
ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผู้กำกับการตำรวจภูธรบางปู พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกันวางแผนดับเพลิงที่กำลังลุกไหม้ที่บ่อทิ้งขยะดังกล่าว โดยยอมรับว่าการเข้าดับเพลิงในครั้งนี้เป็นไปด้วยความลำบาก เนื่องจากด้านล่างกองขยะเหล่านี้เป็นบ่อน้ำ ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาในการดับเพลิงอีกหลายวัน
คพ.ตรวจควันพบสารก่อมะเร็งพุ่ง
ด้านนายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเปิดเผยว่า สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินสารเคมี ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจวัดค่ามลพิษจากการเผาไหม้กองขยะดังกล่าวแล้ว โดยสารมลพิษที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษจากไฟไหม้กองขยะคือ กลุ่มสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศ และสารไดออกซิน ฟิวแรน ซึ่งทั้ง 2 เป็นกลุ่มสารก่อมะเร็ง
นายจิราวุฒิ เจียมสกุล ผู้เชี่ยวชาญศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินสารเคมี คพ. เปิดเผยภายหลัง นำเครื่องตรวจวัดความเข้มไอระเหยสารเคมีมาตรวจวัดที่บริเวณกองขยะที่ไฟไหม้ และชุมชนห่างจากจุดเกิดเหตุในรัศมี 200 เมตร พบปริมาณก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์สูงถึง 175 ppm ค่ามาตรฐานไม่เกิน 27ppm ส่วนในชุมชนพบ 10 ppm ส่วนก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ 4-5 ppm จากค่ามาตรฐาน 0.2 ppm สารวีโอซี 0.9-1.0 ppm เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไม่เกิน 0.0 ppm
อพยพด่วน3ชุมชนใกล้บ่อขยะ
นายจิราวุฒิกล่าวต่อว่า จากการตรวจวัดคุณภาพอากาศแล้วพบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์มีปริมาณมากถึง 10 PPM ซึ่งค่ามาตรฐานอยู่ที่ 2.0 PPM เท่านั้น โดยกรมควบคุมมลพิษเป็นห่วงจะเกิดอันตรายขึ้น จึงขอให้ประชาชนชุมชน 3 แห่งของต.พรกษาคือ ชุมชนธัญยพร ชุมชนสวัสดี และชุมชนถนนวิทยุการบินที่อยู่ใกล้มากที่สุด รวมประชากร 1,480 ครอบครัว ออกไปอยู่ที่อบต.แพรกษา 90 ครัวเรือน แต่เนื่องจากยังมีควันไฟและกลิ่นเหม็นจากการเผาไหม้กองขยะ ยังคงลอยมาตามทิศทางลมอย่างต่อเนื่อง คพ.ส่งรถโมบายตรวจอากาศเคลื่อนที่มาตรวจวัดอากาศใกล้ชิดจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
เฝ้าระวังควันไฟกระจายทั่วพื้นที่
สอดคล้องกับ น.พ.พิบูล อิสสระพันธุ์ รองผอ.สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า สถานการณ์ยังคงต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด เนื่องจากมีควันไฟกระจายไปตามทิศทางลม ซึ่งการใส่หน้ากากอนามัยป้องกันได้แค่ฝุ่นเท่านั้น ไม่สามารถป้องกันสารเคมีได้ ดังนั้น ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่โดยเฉพาะชุมชนใกล้บ่อขยะ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคหอบหืด ตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และเด็กแรกเกิด ควรอพยพไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย หรือในศูนย์อพยพที่ อบต.แพรกษา เนื่องจากความหนาแน่นของควันไฟจะน้อยลง สำหรับคุณภาพอากาศบริเวณศูนย์อพยพนั้น เจ้าหน้าที่ตรวจคุณภาพอากาศดูว่ามีค่าสารเคมีอะไรเกินค่ามาตรฐานหรือไม่ ป้องกันผลกระทบด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน
6เขตกทม.ได้รับผลกระทบแล้ว
นายสมชาย ฉัตรสกุลเพ็ญ รอง ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม เปิดเผย ขณะนี้มีประชาชนหลายพื้นที่ของกทม. ร้องเรียนเข้ามาแล้วว่าเริ่มได้รับผลกระทบจากกลุ่มควันกรณีเพลิงไหม้บ่อขยะ ในอ. เมือง จ. สมุทรปราการ จึงร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ เร่งตรวจสอบผลกระทบและอันตรายต่อประชาชนที่อยู่ใกล้เคียง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีรายงานพื้นที่กรุงเทพฯ ได้รับผลกระทบจากควันไฟแล้ว โดยกลุ่มควันกระจายใน 6 เขต ได้แก่ เขตประเวศ บางนา สะพานสูง ลาดกระบัง คลองสามวาและบึงกุ่ม โดยประชาชนเริ่มได้รับผลกระทบคือ มีอาการคันแสบตา เบื้องต้นทางสำนักงานเขตประสานศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่ ลงตรวจเยี่ยมชุมชนที่ได้รับผลกระทบพร้อมแจกหน้ากากอนามัยใส่ป้องกัน
สธ.แจกหน้ากากอนามัย5.6พันชิ้น
น.พ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สั่งให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกไปดูแลรักษาพยาบาลเบื้องต้น แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากควันไฟ พร้อมให้แจกหน้ากากอนามัย 5,600 ชิ้น ป้องกันการสูดละอองควันไฟเข้าปอด และตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงที่อาศัยอยู่ในรัศมีรอบบ่อขยะที่สำคัญ เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้มีโรคประจำตัวเช่น โรคหัวใจ โรคหอบหืด โรคปอด ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอาการกำเริบได้ง่าย
ได้รับผลกระทบเบื้องต้น2ราย
ทั้งนี้ เบื้องต้นได้รับรายงานว่า มีผู้ได้รับผลกระทบ 2 ราย รายแรกเป็นอาสาดับเพลิงชาย อายุ 17 ปี สำลักควันไฟหายใจไม่ออก ทีมแพทย์นำตัวส่งโรงพยาบาลสมุทรปราการ ขณะนี้อาการดีขึ้นและกลับไปพักผ่อนที่บ้าน รายที่ 2 เป็นหญิงอายุ 35 ปี หายใจไม่ออกเช่นกัน รักษาที่โรงพยาบาลเปาโล(เมโมเรียล)สาขาสมุทรปราการ อาการดีขึ้นกลับบ้านแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี