7 เม.ย.58 ที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เชิญบุคลากรด้านคดีรัฐธรรมนูญ จำนวน 50คน เข้ารับฟังการบรรยายสรุป "ขอบเขตอำนาจศาลทหารและการพิจารณาคดีของศาลอาญากรุงเทพ" และเยี่ยมชมการพิจารณาคดีของศาลทหาร เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความเข้าใจกับสาธารณะ ต่อองค์กรศาลทหาร และการพิพากษาคดีของศาลทหาร ซึ่งประชาชนกำลังให้ความสนใจ
โดยทาง พล.ร.ท.ปรีชา จามเจริญ หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร ตุลาการพระธรรมนูญ หัวหน้าศาลทหารสูงสุด กล่าวว่า ศาลทหารเป็นสถาบันหนึ่ง ที่อยู่คู่กับกองทัพมาโดยตลอด และเป็นองค์กรหลักสำคัญในกระบวนการยุติธรรมทหาร ที่ส่งเสริมการปกครองบังคับบัญชาและควบคุมวินัยของทหารให้มีประสิทธิภาพ
ด้าน พล.ต.พนมเทพ เวสารัชชนันท์ ตุลาการพระธรรมนูญ หัวหน้าศาลทหารกรุงเทพ กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์เราถือว่าอยู่ในศาลปกติ หมายถึง เหตุการณ์ปกติที่ไม่ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึก เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 เม.ย.58 เป็นต้นไป คือวันที่มีการลงราชกิจจานุเบกษาตามคำสั่งของ คสช.ถือเป็นคดีปกติ สามารถอุทรณ์ หรือฎีกาได้ เว้นพื้นที่ตามแนวชายแดนที่ยังมีกฎอัยการศึกบังคับใช้ ซึ่งการพิจารณาดำเนินคดียังคงยึดหลักเดิม คือ ต้องขึ้นศาลทหารและมีศาลเดียว โดยไม่มี การอุทรณ์ หรือฎีกา ส่วนสถานการณ์ปัจจุบันที่อยู่ในความสนใจของประชาชนก็คือ พลเรือนต้องขึ้นศาลทหาร ตามความผิดที่ คสช.ได้กำหนดไว้ จึงทำให้ศาลทหารมีบทบาทมากขึ้น
ขณะที่ น.ท.สุรชัย สรามเตะ ตุลาการพระธรรมนูญของศาลทหารกรุงเทพ กล่าวว่า สำหรับขอบเขตอำนาจของศาลทหารนั้น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ รวมถึงฉบับ 2550 มีการกำหนดอำนาจของศาลทหารไว้ แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2550 จะถูกยกเลิกโดยประกาศ คสช.และมีรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว แต่ก็ยังคงอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลทุกศาล รวมถึงศาลทหาร ส่วนเรื่องขอบเขตอำนาจหน้าที่และวิธีพิจารณาคดีของศาลทหารมีอยู่ใน พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2497 และกำหนดให้ศาลทหารสังกัดอยู่ในกระทรวงกลาโหม โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้รับผิดชอบงานด้านธุรการของศาลเท่านั้น ส่วนการพิจารณาพิพากษาคดีการมีคำสั่ง การบังคับ การพิพากษาต่างๆ ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลทหารโดยเฉพาะ
น.ท.สุรชัย กล่าวว่า สถิติคดี คสช.ของศาลทหารกรุงเทพตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.57 - 31 มี.ค.58 รวมมีคดีขอฝากขัง 148 คดี จำนวนผู้ทำความผิด 172 ราย ศาลรับฟ้อง 85 คดี พิจารณาเสร็จ 52 คดี และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 33 คดี นอกจากนี้ ยังอยู่ในระหว่างฝากขัง 45 คดี ส่งสำนวนคืน 18 คดี ออกหมายจับ 80 ราย ออกหมายค้น 2 ราย
ทั้งนี้ หนึ่งในบุคลากรด้านคดีรัฐธรรมนูญ ได้สอบถามถึง การพิจารณาคดีของศาลทหารในภาวะปกติกับไม่ปกติมีข้อแตกต่างกันอย่างไร โดยทาง พ.อ.ธำรงศักดิ์ วิวัฒนวานิช ตุลาการพระธรรมนูญ รองหัวหน้าศาลทหารกรุงเทพ กล่าวว่า คดีที่เกิดขึ้นในเวลาปกติ คือ ไม่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก การพิจารณาคดีของศาลทหารชั้นต้น จะพิจารณาคดีตามปกติ จะมีข้อแตกต่างในเรื่องระยะเวลาการอุทรณ์ โดยผู้ที่มีสิทธิ์อุทรณ์แยกเป็น 2 กรณี 1.ผู้ความ หมายถึง โจทย์ จำเลย ถ้าจะอุทรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น มีระยะเวลาการอุทรณ์ภายใน 15 วัน แต่ถ้าเราให้อำนาจผู้มีอำนาจสั่งลงโทษ และผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการ มีสิทธิ์อุทรณ์ด้วย โดยมีระยะเวลา 30 วัน แต่ถ้าเป็นคดีที่เกิดขึ้นในระหว่างการประกาศใช้กฎอัยการศึก ตามมาตรา 61 ของ พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ห้ามอุทรณ์หรือฎีกา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เราได้มีการขอแก้ไข พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร เรื่องเวลาอุทรณ์และฎีกา จากเดิม 15 วัน เป็น 30 วัน ตลอดจนถึงในส่วนของทนาย ซึ่งผ่านสภาไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ประกาศใช้
หนึ่งในบุคลากรด้านคดีรัฐธรรมนูญ ยังสอบถามถึงคดีที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีการประกาศกฎอัยการศึก แต่การพิจารณาคดียังไม่สิ้นสุด แต่ขณะนี้ได้มีการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกไปแล้ว การพิจารณาคดีจะดำเนินการต่อไปอย่างไร พ.อ.ธำรงศักดิ์ กล่าว ถึงแม้ว่าขณะนี้จะมีการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกไปแล้ว แต่คดีใดก็ตามที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีกฎอัยการศึกบังคับใช้ ถือเป็นคดีที่เกิดในเวลาไม่ปกติ ห้ามอุทรณ์หรือฎีกา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี