22 มี.ค.61 นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณี นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และนายปกรณ์ มหรรณพ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เคยลงมติคัดเลือกให้ไปเป็น กกต.มาแล้ว แต่ถูก สนช.ลงมติลับ ไม่เห็นชอบ จนต้องกลับไปเปิดรับผู้สมัคร กกต.สายศาลใหม่ ซึ่งปรากฏว่าทั้งนายฉัตรไชย และนายปกรณ์ ได้กลับมาสมัครเป็น กกต.อีกครั้ง ว่า ตาม พรป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 มาตรา 12 วรรค 8 บัญญัติ ว่า "ในกรณีที่วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกรายใด ให้ดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกบุคคลใหม่เเทนผู้นั้น เเล้วเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป โดยผู้ซึ่งไม่ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาในครั้งนี้จะเข้ารับการสรรหาในครั้งใหม่นี้ไม่ได้"
ซึ่งวิธีการดำเนินการเพื่อให้ได้มาเรื่องว่าที่ กกต.นั้นจะมีอยู่ 2ทางคือการสรรหาเเละการคัดเลือก ซึ่งมาตรา 12 วรรค 8 ตรงนี้บัญญัติตรงบทห้ามไว้เเต่เพียงว่าผู้ที่ได้รับการสรรหารายใดที่วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบตรงนี้กฎหมายเขียนห้ามไว้อย่างชัดเจนที่จะเข้ารับการสรรหาซ้ำไม่ได้ เเต่ในส่วนที่เป็นการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากฎหมายไม่ได้เขียนห้ามไว้ ดังนั้นผู้สมัครทั้ง2คนจึงสามารถสมัครเข้าคัดเลือกในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาหากผ่านการคัดเลือกก็ต้องส่งให้วุฒิสภา ปัจจุบัน สนช ทำหน้าที่นี้ เพื่อให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง กกต.ประกอบด้วยกรรมการ 7 คน โดยจำนวน 5 ใน 7 คน ซึ่งจะได้รับการ "สรรหา" จากคณะกรรมการสรรหา ประกอบด้วย 1.นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ ส่วนกรรมการจะประกอบด้วย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เเละผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นกรรมการ , ประธานศาลปกครองสูงสุด , บุคคลซึ่งศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่มิใช่คณะกรรมการการเลือกตั้ง แต่งตั้งจากผู้มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด องค์กรละ 1 คน โดยให้เลขาธิการวุฒิสภาเป็นเลขานุการคณะกรรมการสรรหา และให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยธุรการของคณะกรรมการสรรหา โดยจะคัดเลือกผู้ได้รับการสรรหา จากบุคคลผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาการต่างๆ ที่ยังประโยชน์แก่การบริหารและจัดการการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ส่วนอีก 2 คน ที่เหลือจะ "คัดเลือก" จากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย และเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีผู้พิพากษาไม่น้อยกว่า 5 ปี
โดยมีรายงานว่า ก่อนนี้สาเหตุที่สนช.ลงมติไม่เห็นชอบรอบดังกล่าว เพราะสนช.เกรงว่าจะเกิดปัญหาในเรื่องข้อกฎหมาย เนื่องจากมีข้อทักท้วงว่า การลงมติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่เลือกนายฉัตรไชยกับนายปกรณ์ ไม่ใช่การลงมติแบบเปิดเผย จึงอาจเกรงว่าจะเกิดปัญหาในขั้นตอนการนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ หรือถูกตีตกไปได้ หากมีคนยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ทำให้สนช.เทเสียง โหวตไม่เห็นชอบทั้งสองคน
อย่างไรก็ตาม ในการคัดเลือก กกต.สายศาลรอบนี้ ได้มีการออกระเบียบศาลฎีกาว่าด้วยการคัดเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2561 เพิ่มเติมเป็นฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยระเบียบดังกล่าวเห็นสมควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมการลงมติคัดเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็น กกต.จากระเบียบศาลฎีกาว่าด้วยการคัดเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 เดิม ในข้อ 10 เป็นว่า "การลงมติเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็น กกต.ตามข้อ 11 ให้กระทำโดยเปิดเผย ด้วยการทำเครื่องหมายกากบาท (X) อย่างชัดเจน ลงหน้าชื่อตัว และชื่อสกุลผู้ซึ่งตนเลือก จำนวนไม่เกิน 2 คน หรือจำนวนเท่าที่ยังขาดอยู่ในบัตรเลือกที่จัดไว้ ซึ่งระบุชื่อตัว และชื่อสกุล ลำดับหมายเลขตามบัญชีอาวุโสในศาลฎีกา แล้วบัตรเลือกไปมอบให้คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติและนับคะแนน เพื่อดำเนินการนับคะแนนต่อไป" โดยระเบียบศาลฎีกาดังกล่าว ยังระบุว่า ให้เลขานุการศาลฎีกา เป็นผู้เก็บรักษาบัตรเลือกไว้ไม่น้อยกว่า 1 ปี และหากไม่มีการโต้แย้งการคัดเลือกเป็น กกต.ก็ให้ดำเนินการทำลายบัตรเลือกตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบัญ พ.ศ.2562 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2558
นอกจากนี้ นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา ยังได้ลงนามในคำสั่งศาลฎีกาเมื่อวันที่ 12 มี.ค.61 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติและนับคะแนนรวม 5 คน ซึ่งเป็นระดับผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งหมด โดยมี นายธนิต รัตนะผล ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี