‘หม่อมเต่า’มันใจร่วมรบ.
นังหัวหน้ารปช.
‘เทือก’รับประกันคุณภาพ
ลั่นช่วยปราศรัยทั่วประเทศ
สนับสนุนนักการเมืองรุ่นใหม่
เรืองไกรแย้งอังกฤษส่งตัว‘ปู’
“รปช.”เลือก “หม่อมเต่า” นั่งหัวหน้าพรรค มั่นใจได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาล ยินดีจูบปากประชาธิปัตย์ ในขณะที่ “เทพเทือก” รับบทกุนซือใหญ่ปิดทางเป็นฝ่ายค้าน พร้อมช่วยเดินสายปราศรัยทั่วประเทศ “เรืองไกร” จ่อยื่นหนังสือสถานทูตอังกฤษ 6 สิงหาคม ชี้ปมคดีจำนำข้าว “ยิ่งลักษณ์” เป็นคดีการเมือง
เมื่อเวลา 09.30น.วันที่ 5สิงหาคม ที่โรงแรมแลนด์มาร์ค พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) มีการประชุมผู้ร่วมจัดตั้งพรรคเพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคจำนวน 7 ตำแหน่ง
โดยที่ประชุมมีมติดังนี้ 1.ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าพรรค ด้วยคะแนนเสียง 331คะแนน ทั้งนี้ ได้มีผู้ร่วมจัดตั้งพรรคเสนอชื่อ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นแคนดิเดทในตำแหน่งหัวหน้าพรรค แต่ นายเอนก ประกาศขอถอนตัว โดยระบุว่า ม.ร.ว.จัตุมงคล มีความเหมาะสมมากกว่า 2.นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง อดีตอัยการ เป็นเลขาธิการพรรค ด้วยคะแนนเสียง 328 คะแนน 3.น.ส.จุฑาทัตต เหล่าธรรมทัศน์ เป็นเหรัญญิกพรรค ด้วยคะแนนเสียง 326 คะแนน 4.ร.ต.อ.จอมเดช ตรีเมฆ อาจารย์ประจำสถาบันอาชญาวิทยา และการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นนายทะเบียนพรรค ด้วยคะแนนเสียง 315 คะแนน 5.พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานข่าวกรองแห่งชาติ เป็นกรรมการบริหารพรรค ด้วยคะแนนเสียง 327 คะแนน 6.นายวีระชัย คล้ายทอง อดีตอัยการ เป็นกรรมการบริหารพรรค ด้วยคะแนนเสียง 326 คะแนน 7.นางสุเนตตา แซ่โก๊ะ เป็นกรรมการบริหารพรรค ด้วยคะแนนเสียง 324คะแนน
หม่อมเต่ามั่นใจได้ร่วมจัดตั้งรบ.
ต่อมา ม.ร.ว.จัตุมงคล แถลงหลังประชุมผู้ร่วมจัดตั้งพรรคว่า จะขอปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับทุกคนเพื่อจัดตั้งสมัชชาเพื่อให้ประชาชนเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดถาวรต่อไป ส่วนตัวเมื่อได้รับทาบทามให้มาทำงานกับพรรคนี้ก็ตอบรับในทันที เพราะต้องการแก้ปัญหาประเทศ แม้ว่าการเมืองจะมีความคิดเรื่องการแบ่งแยกระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน แต่ตนตั้งใจว่าฝ่ายค้านจะต้องทำงานร่วมกับรัฐบาล ฟังความเห็นซึ่งกันและกัน หาคำตอบที่ดีที่สุดกับบ้านเมือง เพื่อให้ประเทศอยู่ได้ ไม่ใช่เป็นพรรคการเมืองเพื่อทะเลาะกัน เพราะประเทศไทยจะอยู่ไม่ได้
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ม.ร.ว.จัตุมงคล กล่าวว่า มีโอกาสที่จะได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพราะรัฐธรรมนูญออกแบบระบบเลือกตั้งเพื่อทำให้รัฐบาลมีหลายพรรคการเมือง ส่วนการสนับสนุนให้บุคคลใดหรือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นยังไม่มีประโยชน์ที่จะคิดยาวขนาดนั้น เพราะยังไกลเกินไป โดยการเลือกตั้งครั้งหน้ารัฐธรรมนูญกำหนดให้ทุกพรรคการเมืองต้องเสนอชื่อนายกฯอยู่แล้ว ดังนั้น เชื่อว่านายกฯน่าจะมาจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง
เมื่อถามว่า พรรครวมพลังประชาชาติไทย จะเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯหรือไม่ ม.ร.ว.จัตุมงคล กล่าวว่า ยังมีเวลาคิด แต่ขึ้นอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ จะลงมาสมัครหรือไม่
ยินดีต้อนรับทุกพรรคการเมือง
เมื่อถามว่า ขณะนี้พรรครวมพลังประชาชาติไทยได้มีการดูดอดีตสส.จากพรรคการเมืองอื่นหรือไม่ ม.ร.ว.จัตุมงคล กล่าวว่า เรามีคนของเราอยู่แล้ว เรายินดีรับทุกคน หากนโยบายของเราติดใจประชาชน ถึงเวลานั้นประชาชนจะเข้ามาสมัครกับพรรค และพรรคจะมีตัวผู้สมัครที่จะมีโอกาสชนะมากที่สุด
เมื่อถามว่า เจตนารมณ์ของพรรคว่าจะสามารถร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐได้หรือไม่ ม.ร.ว.จัตุมงคล กล่าวว่า เท่าที่เห็นก็ไม่ได้มีความแตกต่างกัน หากพรรคพลังประชารัฐได้เสียงข้างมากและจัดตั้งรัฐบาล คิดว่าเราก็น่าจะมีโอกาสได้ร่วมงาน
เมื่อถามว่า ในทางกลับกันถ้าพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง จะมีโอกาสร่วมงานกันหรือไม่ ม.ร.ว.จัตุมงคล กล่าวว่า ถึงตอนนั้นจะยังมีพรรคเพื่อไทยหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้าเป็นกรณีของพรรคประชาธิปัตย์ คิดว่าน่าจะง่ายกว่า เพราะนายสุเทพออกมาจากพรรคก็ไม่ได้โกรธกัน และลูกของตนก็ยังอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์
‘เทือก’มั่นใจได้ร่วมรัฐบาลชัวร์
ก่อนหน้านั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมจัดตั้งพรรค กล่าวว่า เราต้องการเห็นการปฏิรูปตามเจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชน และเมื่อได้พิจารณาสถานการณ์ทางการเมืองรอบแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นต้องจัดตั้งพรรคการเมืองที่เป็นพรรคการเมืองของประชาชน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าพร้อมกับการปฏิรูปประเทศ
“ผมยังยืนยันว่าภูมิใจที่จะยืนเคียงข้างพรรคการเมืองนี้และจะทำงานอย่างทุ่มเทกับทุกคน และจะไม่รับตำแหน่งใดๆในพรรคการเมืองนี้ ผมตั้งใจจะเป็นผู้รับใช้ประชาชนเพื่อสร้างพรรคการเมืองนี้ อีกทั้งจะไม่ลงสมัครสส.ทั้งระบบแบ่งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ แต่ผมจะขึ้นเวทีปราศรัยช่วยพรรคทั่วประเทศ” นายสุเทพ กล่าว
บอกตั้งใจรับใช้ประชาชน
นายสุเทพ กล่าวสรุปว่า เชื่อมั่นว่าพรรคเราจะได้เป็นรัฐบาล ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่หมอดู แต่ด้วยความที่อยู่ในการเมืองมานาน และพรรคเราเป็นพรรคของประชาชนแท้จริง ใครๆก็อยากคบด้วย และภายหลังการเลือกตั้งไม่มีรัฐบาลพรรคเดียวแน่นอน แต่จะเป็นรัฐบาลผสม ถึงเวลานั้นก็รอรับขันหมากได้เลย
“ผมจะไม่รับตำแหน่งในรัฐบาล ผมจะสนับสนุนนักการเมืองรุ่นใหม่ให้ขึ้นมาทำหน้าที่ โดยผมจะทำหน้าที่เป็นโค้ชและพี่เลี้ยงและนำประสบการณ์ของผมกว่า 40 ปีไปช่วยงานต่อไป เป็นการตอกย้ำว่าผมเองยังรักษาคำพูด และการตั้งพรรคการเมืองนี้ไม่ได้หวังประโยชน์ส่วนตัวเพราะตั้งใจรับใช้ประชาชน” นายสุเทพ กล่าว
‘เรืองไกร’ดิ้นช่วยยิ่งลักษณ์
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต สส.พรรคเพื่อไทย เผยว่า ในวันที่ 6 สิงหาคมนี้ ตนจะเข้ายื่นหนังสือต่อเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เพื่อแสดงหลักฐานเพิ่มเติมที่เป็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันจะนำไปสู่การพิจารณาได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกดำเนินคดีจำนำข้าวที่เข้าข่ายความผิดที่มีลักษณะทางการเมือง ที่พูดถึงสนธิสัญญานั้น ความจริงคือ สัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกรุงสยามกับอังกฤษเมื่อวันที่ 4มีนาคม ค.ศ.1911 หาใช่สนธิสัญญาแต่อย่างใด
นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกและคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีมีการบิดเบือนว่าคดีจำนำข้าวเป็นคดีทางการเมืองว่า คดีนี้เกิดจากการเริ่มต้นตรวจสอบของฝ่ายค้านคือพรรคประชาธิปัตย์ โดยฝ่ายนิติบัญญัติ โดยนายแพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม กับ สส พรรคประชาธิปัตย์ได้อภิปรายตรวจสอบทั้งการตั้งกระทู้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ การอภิปรายตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดิน โดยตรวจสอบฝ่ายบริหารในขณะนั้นคือรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อเห็นว่ามีความผิด ก็ส่งต่อกระบวนการตรวจสอบไปยัง ปปช ก็ชี้มูลว่ามีความผิด ก็ส่งต่อไปยังอัยการ ก็มีความเห็นควรสั่งฟ้องก็ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นี้คือกระบวนการยุติธรรมปกติ เป็นกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุล คดีนี้แม้ไม่มีการปฏิวัติคดีนี้ก็จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนปกติของกระบวนการยุติธรรม การปฏิวัติไม่ได้มีผลกระทบต่ออำนาจตุลาการ และคณะตุลาการไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อคดีนี้โดยเฉพาะ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนี้ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ ปี 2540 เป็นผู้พิพากษาอาชีพ คดีนี้คือคดีที่เกิดขึ้นตามกระบวนการยุติธรรมปกติ
“คดีนี้มีบางฝ่ายพยายามบิดเบือนว่าเป็นคดีที่โดนกลั่นแกล้งในทางการเมือง อ้างว่าเป็นคดีการเมือง ต้องชี้แจงว่าไม่จริง คดีนี้เป็นคดีอาญาปกติคือคดีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ไม่ได้เกิดจากการกลั่นแกล้งทางการเมืองใดๆทั้งสิ้นรัฐบาลต้องกล้าอธิบายความจริง ว่าคดีนี้มีที่ไปที่มาอย่างไร และควรชี้แจงรัฐบาลประเทศอังกฤษให้เห็นถึงข้อเท็จจริงของคดีนี้ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมมาก” นายราเมศ กล่าว
‘วัชระ’ยินดี’จตุพร’พ้นคุก
นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มนปช.ว่า ขอแสดงความยินดีที่พ้นโทษจำคุกในคดีหมิ่นประมาทนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ดูจากคำสัมภาษณ์ล่าสุด นายจตุพรคงยังต้องทำหน้าที่ประธานนปช.และพูดการเมืองต่อไป เพราะเป็นจิตวิญญาณเขา แต่ต้องพึงระวังอย่าให้ผิดกฎหมายหรือเงื่อนไขการให้ประกันตัวในคดีก่อการร้ายและคดีอื่นๆ นายจตุพรพ้นคุกออกมาก็อย่าเอาความทิฐิส่วนตัวมาอ้างว่าเป็นความต้องการของชาติ อย่าเอาความต้องการของตนมาอ้างว่า เป็นความต้องการของประเทศ อย่าเอากิเสสส่วนตนมาบอกว่า เป็นความต้องการของประชาชน อย่าเอาอคติของตนชี้นำมวลชนไปในทางที่ผิดขอให้ยึดธรรมะและกฎหมายเป็นที่ตั้ง อย่าให้คนชื่อ”ตู่”ทุกคนกลายเป็นปัญหาของประเทศชาติ
“นายจตุพรผ่านศึกหนัก ช้ำไปหมดแล้ว สู้มาแทบเป็นแทบตายตำแหน่งรัฐมนตรีก็เป็นไม่ได้ แล้วก็ควรออกจากประธานกลุ่ม นปช. มาพักผ่อนกับครอบครัวต่างๆ และให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อรับตำแหน่งแทน เพราะนายณัฐวุฒิมีแววที่จะเป็นประธานกลุ่ม นปช.ได้ทันที และจะทำให้คนเสื้อแดงมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เพราะรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ล้มเหลวในเรื่องนี้ บรรดาคนเสื้อแดงจะได้จับเงินสดๆหนึ่งร้อยล้านบาทเหมือนกับที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เคยได้จับต้องลูบคลำและยืนยันกับคุณครูของตนเองมาแล้ว อีกทั้งสามารถต่อสู้กับการดูดของกลุ่มสามโบสถ์ได้เป็นอย่างดีเพราะเคยเป็นรมช. พาณิชย์เชี่ยวชาญเรื่องจำนำข้าวมาก่อนย่อมจัดเจนในกลยุทธ์การดูดของกลุ่มสามโบสถ์ นายณัฐวุฒิควรรีบเสียสละเข้าไปเป็นประธานกลุ่ม นปช. ให้เหมือนกับการอาสาขอเป็นรัฐมนตรีแทนนายจตุพร พรหมพันธุ์ กับนายทักษิณ ชินวัตรที่ผ่านมา อย่าให้นายจตุพรต้องรับบทหนักและชอกช้ำไปมากกว่านี้เลย” นายวัชระ กล่าว
กรมประมงระบุ ครม.ยังไม่ได้อนุมัติเงินให้ซื้อเรือประมงจากชาวบ้านที่ไม่ได้รับใบอนุญาตให้ทำประมง เพื่อแก้ไขปัญหา IUU ระบุไม่สามารถทำงบปีก่อนๆ มาจัดซื้อเรือคืนได้
เมื่อวันที่ 5สิงหาคม นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมการประมงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงกรณีการจัดซื้อเรือประมงเก่าที่ไม่มีใบอนุญาตให้ออกมาจากระบบเพื่อแก้ปัญหาเรื่องIUU ว่า เป็นเรื่องที่ภาครัฐต้องการช่วยเหลือชาวประมง
ทั้งนี้ เรือประมงที่จะมาเข้าโครงการต้องเป็นเรือประมงที่ถูกกฎหมาย คือเป็นเรือที่มีทะเบียนถูกต้อง เพียงแต่ไม่มีใบอนุญาตทำประมง จึงถูกล็อค ไม่สามารถออกมาทำการประมงได้ ชาวประมงก็เดือดร้อน ได้รับผลกระทบจากการที่เขาไม่มีใบอนุญาต หากทำประมงก็ผิดกฎหมาย จำเป็นต้องออกจากระบบ โดยมีภาครัฐไปสนับสนุน และไม่ได้ซื้อแพงจนเกินความเป็นจริงตามข่าว
ส่วนที่ว่าเป็นการใช้งบปี 58 มาซื้อเรือผิดกฎหมายนั้น อธิบดีกรมประมงกล่าวว่า คนที่เขียนข่าวอาจจะไม่ทราบข้อมูลที่แท้จริง จึงเข้าใจผิดพลาดไปแล้วเอามาออกข่าว ความจริงโครงการซื้อเรือประมงที่ไม่มีใบอนุญาตมีจริง แต่ไม่ใช่เรือที่ผิดกฎหมาย อีกทั้งงบประมาณในการจัดซื้อก็ยังไม่มี ต้องรอการอนุมัติจากรัฐบาล การเขียนว่าเอางบประมาณตั้งแต่ปี 2558 มาใช้ในปีงบประมาณ 2561 ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่มีรัฐบาลไหนลากงบประมาณมาได้นานขนาดนี้ ถ้าลากงบมาจริงรัฐบาลคงเอากลับไปหมดแล้ว เรื่ิองนี้พูดกันมาตั้งแต่ 2558 แต่ยังทำโครงการไม่ได้ ต้องรอ ครม.อนุมัติก่อน แล้วจะเอางบจากไหนไปซื้อเรือ 3 พันล้านถ้าครม.ไม่อนุมัติ คนเขียนอาจจะมีข้อมูลที่สับสนอยู่
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้จากที่สำรวจพบว่ามีเรือเกินมา แต่ยังเอาออกมาไม่ได้ เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่ามีเรือใครบ้างที่ได้รับผลกระทบทั้งนี้อาทิตย์หน้าจะแถลงข่าวเพื่อความชัดเจนในเรื่องนี้อีกที เพื่อป้องกันข้อมูลที่อาจจะเข้าใจสับสนและคลาดเคลื่อน โดยเฉพาะไปโยงว่าใช้งบครั้งนี้ไปใช้เพื่อเลือกตั้ง ซึ่งมันคนละเรื่องไม่รู้ไปโยงกันได้อย่างไร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี