ในการแถลงด้วยวาจาต่อศาลโลกเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผู้พิพากษาที่ชื่อนายอับดุลกาวี อาเหม็ด ยูซุบ ชาวโซมาเลีย ได้ขอให้ไทยและเขมรชี้ให้ชัดเจนว่าพื้นที่บริเวณรอบปราสาท(vicinity)มีอาณาเขตแค่ไหนอย่างไรแล้วรีบเสนอด่วนที่สุดภายในวันศุกร์นี้โบราณบอกว่า”ต้องรู้เขารู้เรา จึงจะรบชนะ”
เริ่มตั้งแต่ศาลโลกหรือชื่อเต็มคือ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(International Court of Justice)ซึ่งคำว่าศาลยุติธรรมทำให้เราเข้าใจว่าน่าจะเป็นศาลยุติธรรมแบบศาลยุติธรรมของเรา แต่ไม่ใช้เพราะศาลโลกตั้งตามกฎบัตรองค์การสหประชาชาติ(UN)เป็นศาลที่ผู้พิพากษามาจากการเลือกตั้งของที่ประชุมใหญ่องค์การสหประชาชาติ(General Assembly) ดังนั้นจึงเป็นศาลการเมืองไม่ใช่ศาลยุติธรรมเพราะการเลือกตั้งต้องมีการหาเสียงสนับสนุนมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์มีการลอบบี้อย่างรุนแรง ดังนั้นถ้าเราจะคาดหวังว่าศาลโลกจะมีความยุติธรรมเหมือนศาลยุติธรรมในความเข้าใจก็ไม่น่าจะใช่ เมื่อผู้พิพากษามาจากการลอบบี้การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ การพิจารณาคดีก็คงไม่แตกต่างกัน
เรื่องการลอบบี้ระหว่างประเทศเขมรมีความสามารถพิเศษตั้งแต่ยุคสงครามเย็นและสงครามกลางเมืองภายในประเทศเขมร รัฐบาลเขมรชุดนี้ทำงานนี้อย่างต่อเนื่องโดยคนชุดเดียวกันมานานถึง ๖๐ปีต่างจากไทยที่เปลี่ยนคนทำงานเป็นประจำทำให้ขาดความต่อเนื่อง เพราะความต่อเนื่องจึงทำให้เขมรทำจนประสบความสำเร็จ ทำให้นานาชาติรวมทั้งไทยได้เข้าไปช่วยเหลือจนรวมเขมรสามฝ่ายและยุติสงครามกลางเมืองได้ นอกจากนั้นยังลอบบี้เอาความช่วยเหลือจากนานาประเทศมาพัฒนาประเทศจนจะล้ำหน้าไทยแล้ว
คำถามคือเราได้ลอบบี้บางหรือไม่ ได้ศึกษาที่มาที่ไปแนวทางความคิดของผู้พิพากษาหรือเปล่า เพราะเขมรต้องศึกษาความเป็นไปได้ในเรื่องการนำคดีเขาพระวิหารขึ้นสู่ศาลโลกมานานและลอบบี้จนมีความมั่นใจว่าจะชนะคดีได้จึงได้ฟ้องไทย ที่มั่นใจว่าเขมรทำเช่นนี้เพราะเห็นการทำงานของทีมงานเขมรในการต่อสู้กรณีการขึ้นทะเบียนมรดกโลกที่เขาได้ปูพื้นมานานก่อนที่จะลอบบี้จนสามารถขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว แม้ว่าไทยจะคัดค้านเพราะการขึ้นทะเบียนไม่ถูกต้องเนื่องจากไม่ได้ดำเนินการให้ครบถ้วนตามเงื่อนไขกฎกติกาและวิธีการที่กำหนดไว้ในระเบียบกติกา กฎหมายและข้อมติต่างๆ ภายใต้อนุสัญญามรดกโลก ซึ่งไม่มีข้อยกเว้นให้สามารถทำได้แต่เขมรก็ยังลอบบี้จนผ่านไปแบบไม่ถูกต้องได้ แล้วทำไมกรณีศาลโลกเขมรจะทำอีกไม่ได้เหมือนเช่นในอดีตที่ไทยต้องสูญเสียปราสาทพระวิหารไปทั้งที่ทางขึ้นปราสาทก็ขึ้นได้จากทางไทยเท่านั้นทางเขมรต้องปีนหน้าผาขึ้นมา แต่ศาลโลกยังตัดสินให้เป็นของเขมร จนเราเคยประกาศว่าเราไม่ยอนรับอำนาจศาลโลก แล้วครั้งนี้คนไทยจะรอให้ศาลการเมืองโลกตัดสินแบบเดิมเสียก่อน แล้วมาร้องไห้เสียใจที่จะต้องเสียอำนาจอธิปไตยและดินแดนไทยให้เขมรเพิ่มเติมอีกครั้งหรืออย่างไร
ที่สำคัญเมื่อรู้ว่า ผู้พิพากษาศาลโลกมาจากการเมืองระหว่างประเทศ มีการลอบบี้จนได้รับเลือกตั้งมา เพราะฉะนั้น ผู้พิพากษาจะมีความยุติธรรมจริงหรือไม่ กรณีนายอับดุลกาวี อาเหม็ด ยูซุบ ชาวโซมาเลีย ผู้พิพากษาที่ได้ขอให้ไทยและเขมรส่งรายละเอียดพื้นที่รอบตัวปราสาท(VICINITY)ให้ภายในวันศุกร์นั้น จริงแล้วก็เป็นการเร่งรัดเกินเหตุอาจทำให้การดำเนินการไม่รอบคอบแต่ก็เป็นความตั้งใจของนายอับดุลกาวี อาเหม็ด ยูซุบที่จะวางกับดักและจะใช้ข้อมูลนี้ในการลอบบี้ผู้พิพากษาด้วยกัน เพราะหากรู้จักนายอับดุลกาวี อาเหม็ด ยูซุบ ชาวโซมาเลีย ก็จะรู้ที่มาของคำถามนี้
จากการที่ได้ไปประชุมและต่อสู้กับเขมรกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกหลายครั้งรวมทั้งการลอบบี้ประสานงานหาเสียงและหาข้อมูล จึงได้ทราบว่านายอับดุลกาวี อาเหม็ด ยูซุบ เคยเป็นนักกฎหมายอาวุโสของศูนย์มรดกโลกและยูเนสโก ซึ่งน่าจะมีบทบาทสำคัญในการแนะนำชี้ช่องทางและช่วยเหลือเขมรในการผลักดันให้เกิดการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวโดยไม่ชอบ ก่อนได้รับการเสนอชื่อเพื่อรับเลือกตั้งเป็นผู้พิพากษาศาลโลก หลังจากได้รับเลือกตั้งแล้วก็พูดโดยเปิดเผยอยู่เสมอว่าไทยไม่ได้สนับสนุนและต่อต้านเขา(your country against me) จะเห็นได้ว่าผู้พิพากษาท่านอื่นไม่มีใครถามหรือขอให้ส่งข้อมูลเพิ่มเติมเลยมีเพียงคนเดียวเท่านั้นคือนายอับดุลกาวี อาเหม็ด ยูซุบ ประเด็นที่เขาถามก็เป็นประเด็นสำคัญเพราะคำว่า vicinity หรือ บริเวณรอบตัวปราสาท ที่ราจะต้องแจ้งเขาไปภายในวันศุกร์นี้ จะเป็นตัวชี้ว่าเราอาจต้องเสียดินแดนให้เขมร หากดูจากข่าวที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ใช้เส้นตามมติครม.ปี ๒๕๐๕ เพื่อกำหนดขอบเขตบริเวณโดยรอบตัวปราสาทเพื่อแจ้งไปยังศาลโลก ก็น่าเป็นห่วงเพราะเส้นที่กำหนดไว้นั้นเป็นเรื่องของไทยเองเพื่อการปฏิบัติการไม่ใช้เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับเขมรและยังกินบริเวณออกมาจากตัวปราสาทมากกว่าคำพิพากษาของศาลโลกที่ให้เฉพาะตัวปราสาทเป็นของเขมร หากเป็นเช่นนั้นการมีมติครม.ดังกล่าวเสี่ยงต่อการตีความว่าครม.ไม่มีอำนาจตัดสินใจหรือมีมติใดใดเพราะมติเรื่องนี้จะมีผลกระทบต่อเขตแดนและอำนาจอธิปไตย ทางที่ดีที่สุดควรจะแจ้งศาลโลกไปว่า vicinity ของเขมรมีเพียงตัวปราสาทตามคำพิพากษาของศาลโลกเท่านั้น
โฉมหน้านายอับดุลกาวี อาเหม็ด ยูซุบ
(ขอบคุณภาจาก : Sermsuk Kasitipradit)
ดังนั้น เมื่อรู้จักนายอับดุลกาวี อาเหม็ด ยูซุบ แล้ว การที่นายอับดุลกาวี อาเหม็ด ยูซุบ รับลูกเรื่องพื้นที่บริเวณรอบตัวปราสาทจากเขมรนั้นน่าจะชัดเจนว่านายอับดุลกาวี อาเหม็ด ยูซุบ อาจใช้ประเด็นนี้ช่วยเขมรลอบบี้ผู้พิพากษาท่านอื่นในฐานะผู้ที่รู้เรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเป็นอย่างดี เพราะถึงแม้ว่าศาลโลกจะไม่มีอำนาจในการตัดสินเรื่องเขตแดนแต่อาจตัดสินว่า vicinity หรือบริเวณรอบตัวปราสาทที่ไทยเสนอไปเป็นอาณาเขตของตัวปราสาทตามคำพิพากษาของศาลโลก โดยไม่ต้องกล่าวถึงเขตแดนซึ่งศาลโลกไม่มีอำนาจในการชี้ขาด
เชื่อว่าคนไทยทุกคนเป็นห่วงเรื่องนี้และไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยที่ศาลโลกเคยตัดสินยกปราสาทพระวิหารโดยหลีกเลี่ยงไม่กล่าวถึงเรื่องเขตแดนแต่ใช้กฎหมายปิดปากแทนและในคราวนี้ก็อาจเป็นเช่นเดียวกันที่ศาลโลกอาจใช้วิธีการเดียวกันในการตัดสินโดยอ้างข้อมูลเรื่องพื้นที่รอบบริเวณปราสาท หรือ vicinity ที่ไทยแจ้งไป ในการตัดสินจนทำให้ไทยต้องเสียดินแดนอีกครั้งหนึ่ง
เชื่อว่าคณะผู้แทนไทยคงไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับนายอับดุลกาวี อาเหม็ด ยูซุบ ชาวโซมาเลีย ผู้พิพากษาคนนี้
ขอให้รัฐบาลได้พิจารณาทบทวนให้รอบคอบอีกครั้งหนึ่งเพราะที่ทำมาก็น่าชมเชยอยู่แล้ว
สุวิทย์ คุณกิตติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี