‘ตีเด็ก’เป็นความรุนแรงด้านร่างกาย!‘กมธ.ห้ามตีเด็ก’เผยจัดทำรายงานเสร็จเรียบร้อย คาดสภาบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมทันสมัยประชุมนี้
24 ตุลาคม 2567 ที่รัฐสภา นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ((2) ทำโทษบุตร) และคณะ แถลงว่า คณะ กมธ.ฯได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวและจัดทำรายงานเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ได้รับข้อมูลจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เกี่ยวกับสถานการณ์ความรุนแรงในเด็ก ดังนี้ ข้อมูลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ปี 2565 โดยองค์การยูนิเซฟประเทศไทยร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) พบว่า แม่และผู้ดูแลเกือบ 2 ใน 5 เชื่อว่าการลงโทษทางร่างกายเด็กเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งมีเด็กอายุ 1-14ปี มากกว่าร้อยละ 53.8 หรือคิดเป็นเด็กจำนวน 5 ล้านกว่าคน ในประเทศไทยได้รับการอบรมโดยวิธีการรุนแรง
นายสรรพสิทธิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีข้อมูลการกระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว ประจำปี 2564-2566 ของบ้านพักเด็กและครอบครัว พบสถิติความรุนแรงในครอบครัว จำนวน 1,689 รายโดยเฉลี่ยคิดเป็น 563 รายต่อปี หรือ 1-2 รายต่อวัน
สาเหตุประเภทความรุนแรง 3 อันดับแรก คือ 1. ถูกทำร้ายร่างกาย คิดเป็นร้อยละ 63 , 2. ข่มขืน/กระทำชำเรา คิดเป็นร้อยละ 25 และ 3.ละเลยทอดทิ้ง คิดเป็นร้อยละ 12 โดยพบว่าผู้ถูกกระทำความรุนแรงส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งผู้กระทำความรุนแรงต่อเด็ก ร้อยละ 33 เป็นบิดาหรือมารดาเด็ก ทั้งนี้ยังพบข้อมูลว่าบิดาหรือมารดาเลี้ยงกระทำต่อบุตรเลี้ยง ร้อยละ 11
นายสรรพสิทธิ์ กล่าวอีกว่า จากข้อมูลเหล่านั้นคณะกมธ.ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวโดยการแก้ไขมาตรา 1567 (2) ซึ่งเป็นมาตราเดิมที่กำหนดให้ผู้ใช้อำนาจปกครองมีสิทธิทำโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน พร้อมกันนี้ประเทศไทยได้ลงนามในภาคยานุวัติสารเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเมื่อวันที่ 12ก.พ.35และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 26 เม.ย.35 และในปี พ.ศ.2567 นี้ครบรอบ 32 ปี ที่ประเทศไทยเป็นภาคีฯ ในประเด็นเรื่องความรุนแรงต่อเด็ก อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กข้อ 19 กำหนดว่ารัฐภาคีจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมทั้งปวง ด้านนิติบัญญัติ บริหารสังคมและการศึกษา ในอันที่จะคุ้มครองเด็กจากรูปแบบทั้งปวงของความรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ
นายสรรพสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาประเทศไทย มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายหลายฉบับเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กมาบ้างแล้ว ซึ่งคณะกมธ.ได้พิจารณาเห็นถึงความจำเป็นที่ควรจะต้องสื่อสารสร้างความเข้าใจต่อสังคม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้รับทราบเกี่ยวกับแนวทางการเลี้ยงดูเชิงบวก อันจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเด็ก แต่มีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยครอบครัว ประกาศใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 89 ปี แม้จะมีการตรวจชำระใหม่ในปี พ.ศ. 2519 ก็มิได้แก้ไข ในหมวดว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาที่มีต่อบุตรผู้เยาว์ โดยเฉพาะมาตรา 1567 (2) ให้สิทธิแก่บิดามารดาทำโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน ย่อมสอดคล้องกับบริบทสังคมไทยในอดีต แต่สังคมไทยในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาได้ตระหนักและเรียนรู้วิธีการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลากหลายวิธี ไม่เพียงแต่การทำโทษเท่านั้นจึงถึงเวลาที่เหมาะสมและมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไข มาตราดังกล่าว เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ครอบครัวอบอุ่นปราศจากความรุนแรง
“การตีเด็กเป็นความรุนแรงที่พบความเสียหายได้อย่างชัดเจนทางด้านร่างกาย สิ่งสำคัญที่พบคือ ผลกระทบทางด้านจิตใจที่ หวาดกลัว หวั่นไหว ไม่มั่นใจ ไม่ไว้วางใจ โดยเฉพาะหากผู้ทำความรุนแรงต่อเด็กเป็นคนใกล้ชิดเลี้ยงดู รวมทั้งเด็กจะซึมซับความรุนแรงเติบโตมาด้วยความรู้สึกที่ไม่มั่นคง และเรียนรู้เลียนแบบการกระทำความรุนแรง และเป็นวงจรสืบต่อกันไปรุ่นต่อรุ่น อันจะเป็นผลเสียต่อการพัฒนาทางสมองของเด็กที่จะเป็นผู้บริหารของประเทศต่อไป โดยคาดว่าสภาฯ จะบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมภายในสมัยการประชุมนี้” นายสรรพสิทธิ์ กล่าว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
+ สภาฯถกเดือด!! ถอนร่างกม.ห้ามตีเด็ก อึ้ง'ปชน.'โต้คำโบราณสำนวน'รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี'
+ ‘ปชน.’เสียดายต้องถอนร่างฯกม.เฆี่ยนตีเด็กกลับไปทบทวนใหม่ รับอาจสื่อสารผิดพลาด-ถ้อยคำไม่ชัดเจน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี