ผวาหมก"ม.112" "สภาฯ" 270 เสียง คว่ำข้อสังเกต"รายงานกมธ.นิรโทษกรรม" ส่งต่อให้รัฐบาลแค่เฉพาะรายงาน ด้าน"ชูศักดิ์"ย้ำใช้เป็นแค่แนวทางศึกษาออกกฎหมาย รัฐบาลจะทำหรือไม่ก็ได้ ขณะที่"เพื่อไทย"นัวกันเองช่วงท้าย "ชลน่าน"ฟาดปาก"พิเชษฐ์" ชี้หน้าหยันทำไม่ได้ให้"รองฯ 2"ขึ้นมาแทน ก่อนโดนสวนกลับ"อยากเป็นก็ขึ้นมา"
เมื่อเวลา 14.35 น.วันที่ 24 ตุลาคม 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาลงมติรายงานของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่ค้างต่อเนื่องจากการพิจารณาสัปดาห์ที่แล้ว โดยก่อนการลงมติ นายพิเชษฐ์ เปิดโอกาสให้ กมธ.และสมาชิกอภิปรายเพิ่มเติมได้อีกเล็กน้อย
โดย น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม.พรรคประชาชน อภิปรายว่า สนับสนุนการนิรโทษกรรมทุกคดี ไม่มีข้อยกเว้นคดีใด ที่ผ่านมา กมธ.เชิญแกนนำทุกสีมาให้ข้อมูลการนิรโทษกรรม คดีมาตรา 112 ทุกคนเห็นด้วยให้นิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 แต่เหตุใด กมธ.ที่ไม่เห็นด้วยจึงมีปัญหา ไม่อยากให้ถ่วงการก้าวข้ามความขัดแย้ง โดยทิ้งใครไว้ข้างหลัง มีกี่คนที่รู้ถึงรายละเอียดพฤติการณ์ความผิดของผู้มีคดีมาตรา 112 ว่าแต่ละคดีเป็นอย่างไร หลายคดียกฟ้อง หลายคดีเป็นคดีกลั่นแกล้งทางการเมือง บางคนเป็นผู้ป่วยจิตเวช คดีความผิดมาตรา 112 มีเป็นพันคดี ไม่ใช่แค่หลักร้อย ขอให้เปิดใจให้โอกาสประชาชนที่มีคดีมาตรา 112 ได้กลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนที่พวกท่านจับมือกันตั้งรัฐบาล
ด้าน นายชัยธวัช ตุลาธน กมธ.ฯ อภิปรายว่า คดีมาตรา 112 เกี่ยวข้องความขัดแย้งทางการเมืองแบบแยกไม่ออก การมองนิรโทษกรรม คดีมาตรา 112 จะส่งเสริมให้คนทำผิด บ้านเมืองไม่มีขื่อแป ถ้ามองเช่นนี้ไม่ควรนิรโทษกรรมคดีใดเลย การยกเว้นนิรโทษกรรม เฉพาะคดีมาตรา 112 ต้องคิดให้รอบคอบ ไม่ให้เกิดความรู้สึกทางลบต่อสถาบัน การนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 มีข้อดีคือ ฟื้นความสัมพันธ์อันดีของประชาชนต่อสถาบัน ถ้าไม่นิรโทษความผิดนี้จะบรรลุไปสู่เป้าหมายความปรองดองได้หรือไม่ คดีมาตรา 112 เป็นความขัดแย้งที่มีนัยยะแหลมคมทางการเมือง ถ้าไม่นิรโทษจะคลี่คลายความขัดแย้งได้หรือไม่ อย่างน้อยควรมีพื้นที่ให้ยอมรับได้คือ นิรโทษกรรมดคีมาตรา 112 แบบมีเงื่อนไขคือ ให้มีคณะกรรมการนิรโทษกรรม มาพิจารณารายละเอียด พฤติการณ์คดีความผิดมาตรา 112 เป็นรายกรณีว่า สมควรได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่ เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาพูดข้อเท็จจริงอะไรเป็นแรงจูงใจทางการเมืองให้ทำผิด รับฟังความเห็นต่าง ระหว่างการพิจารณาการนิรโทษกรรม ก็ให้พักการดำเนินคดีไว้ก่อน โดยมีเงื่อนไขต้องให้หยุดการกระทำแบบใดบ้าง ไม่อยากให้คนเห็นต่าง ถูกมองเป็นศัตรู
ขณะที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ขอให้สภาฯ ตั้งสติเรื่องการนิรโทษกรรม ควรตั้งคำถามคดีมาตรา 112 ว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองหรือไม่ ถ้าเห็นว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งทางสังคม การเมือง ก็ต้องไปศึกษาจะมีกระบวนการทางกฎหมายอย่างไร วาระนี้ไม่ใช่วาระที่พรรคการเมืองจะมาแข่งกันแสดงความจงรักภักดี จะแก้ปัญหาความขัดแย้งแบบนี้หรือ ที่ผ่านมาเคยนิรโทษกรรม คดี 6 ต.ค.2519 ก็มีคดีมาตรา 112 อยู่ด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่า นักศึกษาทำผิดมาตรา 112 แต่ถูกกลั่นแกล้งใส่ร้าย จึงได้รับการนิรโทษกรรม ถ้ากลัวว่านิรโทษกรรมแล้วจะทำผิดซ้ำ ขอให้ไปดูประชาชนไม่เคยทำผิดซ้ำในประวัติศาสตร์หลังนิรโทษกรรม มีอยู่เรื่องเดียวที่ได้รับนิรโทษกรรมแล้วทำผิดซ้ำคือ การรัฐประหาร จึงไม่ต้องห่วงประชาชนจะทำผิดซ้ำ สภาควรแสดงความรับผิดชอบแก้ความขัดแย้งในสังคม ด้วยการนิรโทษกรรมคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ควรให้ความเห็นชอบข้อสังเกตของ กมธ.เพื่อไปพิจารรณากฎหมายนิรโทษกรรม ก้าวข้ามความขัดแย้งด้วยความรอบคอบในอนาคต
ส่วน นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการพิจารณารายงานศึกษานิรโทษกรรม สภาชุดที่แล้วเคยตั้ง กมธ.ศึกษาแนวทางปรองดองและนิรโทษกรรม ให้มีการนิรโทษกรรมทุกคดียกเว้นคดีทุจริต คดีฆ่าคนตาย และคดีมาตรา 110 และ 112 รายงานดังกล่าวก็ผ่านความเห็นชอบสภาฯ แต่ไม่เคยถูกแปรไปสู่การนิรโทษกรรมจริงๆ ส่วนรายงานการพิจารณาแนวทางออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของ กมธ.ครั้งนี้มีความสับสนในตัวรายงาน ข้อสังเกต กมธ.ไม่มีข้อยุติจะนิรโทษกรรมหรือไม่นิรโทษกรรมคดีใดบ้าง ทุกอย่างไม่มีข้อสรุป
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ไม่เห็นชอบรายงานและข้อสังเกตของ กมธ.ฯ เพราะเชื่อว่า ปลายทางจะนำไปสู่ความแตกแยกครั้งใหญ่ในประเทศ เหมือนตอนผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ถ้านำรายงานฉบับนี้ไปใช้เป็นสารตั้งต้นออกกฎหมายนิรโทษกรรมจะนำไปสู่ความแตกแยกในบ้านเมืองอีกครั้ง ตัวรายงานฉบับนี้ระบุว่า ทางเลือกนิรโทษกรรมมาตรา 112 ไว้ 3 ทาง หมายความว่าจะเลือกทางใดก็ได้ ขณะที่ข้อสังเกตของ กมธ.ข้อ 9.1 มีการระบุให้ ครม.ควรพิจารณารายงานของ กมธ.เป็นแนวทางตรากฎหมายนิรโทษกรรม แสดงว่าถ้ารัฐบาลจะเลือกนิรโทษกรรม มาตรา 112 หรือเลือกนิรโทษกรรม มาตรา 112 แบบมีเงื่อนไขก็ทำได้ และข้อ 9.5 ระบุว่า ระหว่างยังไม่มีการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ครม.ควรกำหนดนโยบายให้หน่วยงานรัฐในกระบวนการยุติธรรมไปดำเนินการตามกฎหมาย เช่น ให้อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการ ปี 2553 หรือให้ศาลเลื่อน จำหน่ายคดี ปล่อยตัวชั่วคราว อาจทำให้เกิดคำถามเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ รวมถึงข้อ 9.6 ให้คืนสิทธิทางการเมืองแก่ผู้ได้รับนิรโทษกรรม แสดงว่า เป็นการรวมกากระทำตามมาตรา 110 และมาตรา 112 ด้วย จึงไม่เห็นด้วยรายงานและข้อสังเกต เพื่อไม่ให้มีจุดหมายปลายทางไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ในอนาคต
นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ.ฯ อภิปรายสรุปว่า ตนคิดว่าพวกเราคงตั้งสติกันได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การเสนอกฎหมายหรือพิจารณากฎหมาย และไม่ใช่พิจารณาว่านิรโทษกรรมมาตราอะไร ทุกคนคงเข้าใจตรงกัน และรายงานนี้เป็นเพียงการศึกษาแนวทางในการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่ง กมธ.ฯ ไม่ได้บอกว่าให้นิรโทษกรรมอะไรบ้าง แต่โดยนัยยะความหมาย คือนิรโทษกรรมทางการเมืองที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา ข้อความตรงนี้ไม่มีใครคัดค้าน ไม่มีใครไม่เห็นด้วย ส่วนว่าทำไมไม่ฟันธงว่าจะมีนิรโทษกรรมมาตรา 112 หรือไม่ กมธ.ฯ มีความเห็นไว้ 3 ทาง ซึ่งเราสรุปไว้ในข้อสรุปสุดท้ายว่าเรื่องนี้ยังเป็นประเด็นอ่อนไหว ยังมีประเด็นความขัดแย้ง กมธ.ฯ จึงยังไม่มีข้อยุติ ซึ่งหากเราไม่รับรู้ รับทราบข้อเท็จจริงของทุกฝ่ายว่ามีความเห็นอย่างไรถ้าเราจะตรากฎหมายอะไร หากเราไม่ทราบข้อเท็จจริงและไม่รับทราบเหตุการณ์การกระทำที่เกิดขึ้น ผลก็คือเราจัดทำกฏหมายโดยไม่รอบคอบไม่ระวัง
"ผมเชื่อว่ารายงานฉบับนี้เป็นประโยชน์สำหรับสมาชิกที่จะนำไปศึกษา ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการนำไปประกอบการพิจารณาว่าเราจะตามกฏหมาย ควรจะคำนึงถึงอะไร และควรจะมีสาระสำคัญอย่างไรบ้าง อย่างน้อยที่สุดเปิดประชุมสมัยหน้าจะมีกฎหมายกฎหมาย 4 ร่างที่พวกเราคงจะต้องมาพิจาณณาร่วมกันอีกครั้งหนึ่งซึ่งมีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากความผิดเหตุการณ์ขัดแย้งทางการเมือง ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน ซึ่งรายงานฉบับนี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของสมาชิก และข้อสังเกตไม่ได้บังคับองค์กรใดต้องทำตามนั้น เขาาจะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้เพราะฉะนั้นผมคิดว่าวันนี้เราควรจะยุติด้วยการรับทราบรายงาน และรับทราบข้อสังเกต" นายชูศักดิ์ กล่าว
หลังจากสมาชิกอภิปรายครบถ้วนแล้ว ในช่วงที่จะลงมติข้อสังเกตรายงาน กมธ.ฯ นั้น นายพิเชษฐ์ ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้ขอให้สมาชิกที่ไม่เห็นด้วยกับการรับข้อสังเกตรายงานของกรรมาธิการฯ ฉบับนี้ ให้เสนอเป็นญัตติขึ้นมาเพื่อให้มีการลงมติ ทำให้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงนายพิเชษฐ์ ประธานในการประชุม ว่า ขอบคุณเลขาธิการสภาฯ ที่ส่งข้อบังคับให้ประธานฯ อ่าน ทำหน้าที่ประธานจะต้องทำตามข้อบังคับข้อ 105 ต้องให้สภาฯลงมติข้อสังเกต นายพิเชษฐ์ จึงพูดแทรกว่า "ก็ลงมติไงครับ" ทำให้ นพ.ชลน่าน ตะโกนด้วยความโมโหว่า "แต่ท่านให้เสนอญัตติเสนอทำไม ท่านต้องบอกว่าต่อไปเป็นการลงมติตามข้อสังเกต ก็ถามสิใครเห็นชอบไม่เห็นชอบ แค่นี้เองครับ ถ้าท่านทำไม่ได้เปลี่ยนรองประธานสภาฯ คนที่สองขึ้นมา" ซึ่ง นพ.ชลน่าน พูด พร้อมกับชี้ไปที่นายพิเชษฐ์ ทำให้นายพิเชษฐ์ สวนกลับด้วยน้ำเสียงแข็งว่า "ไม่ต้องชี้หน้า ไม่ต้องชี้หน้า ไม่ต้องชี้หน้า อยากเป็นก็ขึ้นมา" ทำให้ สส.ในห้องประชุมหัวเราะกันยกใหญ่
จากนั้นเวลา 16.40 น.ที่ประชุมลงมติข้อสังเกตรายงาน กมธ.ปรากฏว่า ที่ประชุมลงไม่เห็นชอบข้อสังเกต กมธ.ฯ ด้วยคะแนน 270 ต่อ 152 งดออกเสียง 5 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ทำให้ข้อสังเกตของ กมธ.ฯ ตกไป โดยสภาฯ จะส่งเฉพาะตัวรายงานให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เท่านั้น
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี