สังคมไทย ณ วันนี้ ก้าวเข้าสู่ยุคของ “สังคมผู้สูงอายุ” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังข้อมูลจาก กรมการปกครอง ระบุว่า ในปี 2556 ประเทศไทยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป 8,734,101 คน คิดเป็นเกือบร้อยละ 14 จากประชากรทั้งประเทศในปีเดียวกัน 64,785,909 คน นั่นหมายความว่าประเทศไทยจะต้องวางแผนในการรับมือ การช่วยเหลือดูแล และสร้างหลักประกันต่างๆ โดยเฉพาะ “ระบบบำเหน็จบำนาญชราภาพ” ไว้รองรับประชากรกลุ่มนี้ด้วย
28 ก.ย. 2558 มีการจัดเวทีเสวนานโยบายสาธารณะ “ระบบบำนาญ : เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เมื่อสูงวัย” ณ โรงแรมทีเค พาเลซ ถ.แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กทม. ซึ่ง ศ.ดร.วรเวศม์ สุวรรณระดา อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะนักวิชาการผู้สนใจปัญหาสวัสดิการของผู้สูงอายุ กล่าวว่า เรื่องของระบบบำนาญผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาทางด้านความยั่งยืน เพราะหลายระบบต้องพึ่งพาภาษีอากร ซึ่งจะก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังให้กับประเทศมาก และเป็นภาระแก่คนรุ่นหลัง
โดยพบว่าปัจจุบันรัฐบาลมีภาระงบประมาณด้านสวัสดิการชราภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะต้องจัดตั้งงบประมาณมาอุดหนุนจำนวน 260,000 ล้านบาท และในอีก 20 ปีข้างหน้าอาจต้องเพิ่มเป็น 470,000 ล้านบาท ซึ่งหากไม่แก้ไขก็จะกระทบความยั่งยืนทางการคลังเป็นระยะเวลายาวนาน
อาจารย์วรเวศม์เสนอแนะว่า ระบบบำเหน็จบำนาญผู้สูงอายุ ควรปรับเปลี่ยนโครงสร้าง 5 ประการดังนี้ 1.ต้องสร้างระบบบำนาญชั้นแรก เพื่อคุ้มครองขั้นพื้นฐานด้วยสิทธิ์สมกับการเป็นผู้สูงอายุ โดยเปลี่ยนจากเบี้ยยังชีพมาเป็นพระราชบัญญัติบำนาญพื้นฐาน 2.สร้างระบบบำนาญซึ่งผู้รับบำนาญจะต้องมีส่วนร่วมจ่าย เพื่อเพิ่มความเพียงพอและยั่งยืนของระบบบำนาญ โดยแก้ไขให้สมาชิกกองทุนประกันสังคมสามารถย้ายเงินมาอยู่ใน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ได้ เพื่อออมเงินต่อในบัญชีส่วนตัว โดยยังได้รับเงินสมทบจากนายจ้างและรัฐบาลเหมือนเดิม
3.ควรเปลี่ยนระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้เป็นระบบบังคับ และส่งเสริมให้มีแผนทางเลือกการลงทุนและส่งเสริมการแข่งขันระหว่างกองทุน เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระบบบำนาญ 4.ควรแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนที่มีที่ดินเป็นของตัวเอง สามารถปลูกและตัดไม้ที่มีค่าที่ปลูกในพื้นที่ของตนเองเพื่อเป็นบำนาญชีวิตได้ และ 5.ควรจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายบำนาญแห่งชาติ เพื่อให้มีหน่วยงานรับผิดชอบด้านกิจการนโยบายบำนาญของประเทศเป็นการเฉพาะและครบวงจร
สอดคล้องกับความเห็นของ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และอดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย สปช. กล่าวว่า ระบบบำนาญที่ดีไม่ใช่เพียงแต่การรอคอยความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ หรือรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว แต่ระบบบำนาญที่ดีต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับปัญหาของผู้สูงวัยเองด้วย
“แม้เราจะมีระบบประกันสังคมหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแต่ก็ยังคงไม่เพียงพอ หากจะดูแลคุณภาพชีวิตในยามชราภาพให้ดี การที่จะแก้ปัญหาได้ประชาชนจะต้องลุกขึ้นมามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง ไม่เพียงแต่จะรอคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียว” ดร.เจิมศักดิ์ กล่าว
เช่นเดียวกับ นายยศ วัชระคุปต์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า ในต่างประเทศมีการตั้งระบบบำนาญมานานแล้ว เช่น ระบบบำนาญของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (EU) พบว่ามีการกำหนดนโยบายจากส่วนกลางเพื่อปฏิบัติให้สอดคล้องกัน และได้มีการตั้งคณะกรรมการ4 กลุ่ม ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลในส่วนของระบบบำนาญของประเทศ ส่วน ระบบบำนาญของประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นสังคมผู้สูงอายุมานับสิบปีแล้ว ก็มีการกำหนดนโยบายจากส่วนกลาง และมีความต่อเนื่องของระบบที่ชัดเจนเช่นกัน
“ระบบบำนาญของญี่ปุ่นมีความต่อเนื่องของการเป็นสมาชิก และยังมีการแต่งตั้งคณะกรรมการด้านบำนาญ เพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับบำนาญ โดยเฉพาะการสร้างระบบที่รองรับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรทางสังคมและเศรษฐกิจ ดังนั้น เราจึงควรตั้งคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ การสนับสนุนการออมเมื่อยามชรา กำหนดนโยบายบำนาญทั้งระยะสั้นและระยะยาว” นายยศ กล่าวทิ้งท้าย
วิภาดา มาลีหวล
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี