ไม่ใช่เรื่องธรรมดาอีกต่อไปแล้ว สำหรับการทะลักเข้ามาของสินค้าหลากหลายชนิด ที่มีสารประกอบของ “แอสเบสตอส” (Asbestos) หรือ “แร่ใยหิน” ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นปัจจัยของการให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับปอด อาทิ ปอดอักเสบ เนื้องอกในเยื่อหุ้มปอด น้ำในเยื่อหุ้มปอด มะเร็งปอด มะเร็งเยื่อหุ้มปอดและเยื่อบุช่องท้อง...!!
และ “แร่ใยหิน” ที่วันนี้จะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หลังจากที่พูดกันมามากในช่วงก่อนหน้านี้
เพราะหลากหลายชนิดสินค้า ทั้ง กระเบื้องมุงหลังคา ผ้าเบรกรถ ฝ้าเพดาน ฉนวนกันความร้อนท่อน้ำซีเมนต์ กระเบื้องยางไวนิลปูพื้น และอุตสาหกรรมสิ่งทอ
ไม่เว้นแม้แต่สินค้าใกล้ๆ ตัว อย่าง ไดร์เป่าผมล้วนแล้วแต่มีส่วนผสมของ “แร่ใยหิน” ทั้งสิ้น!
เป็นสินค้า “มฤตยูเงียบ” ที่แพร่หลายในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียนมานาน จนตัวเลขผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากแร่ใยหินเฉพาะในประเทศไทย มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น กว่า 1 พันรายต่อปี ในเร็วๆ นี้ หากไม่มีมาตรการใดๆ มาหยุดยั้ง
แม้ว่าจะมีมติ ครม.เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา จะให้มีการยกเลิกการนำเข้า “แร่ใยหิน” เพื่อหวังหยุดยั้งจำนวนผู้ป่วยที่มีสถิติสูงขึ้น แต่ในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมาแต่ก็ยังคงมีการนำเข้าแร่ใยหินมากถึงกว่า 8 หมื่นตัน!!
รศ.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ปฏิบัติงานด้านการคัดค้านการใช้แร่ใยหิน เปิดเผยว่า โดยเฉลี่ยแล้วคนไทยบริโภคแร่ใยหิน 3 กก.ต่อคนต่อปี นับเป็นอัตราการใช้ต่อประชากรอันดับ 2 ของโลก ซึ่งหากนับรวมทั้งภูมิภาคอาเซียนแล้วตัวเลขของการใช้แร่ใยหินนับว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว
แม้จะมีคำประกาศกรุงเทพฯเพื่อการยกเลิกการใช้แร่ใยหิน ในการประชุมนานาชาติในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ.2549 และมติ ครม.ในการห้ามใช้ออกมา แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการนำเข้าลงได้
สิ่งที่น่าเป็นห่วงในอนาคต และอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงที่สุด คือการรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ที่จะถึงนี้ สมาชิกหลายประเทศยังคงเปิดให้นำเข้าโดยเสรี และยังไม่มีมาตรการรองรับในเรื่องนี้ที่ชัดเจน จึงยากจะหลีกเลี่ยงที่จะมีผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีส่วนผสมของแร่ใยหิน ทะลักเป็นสินค้าเข้าในกลุ่มประเทศอาเซียนโดยมีอัตราภาษี 0%
ด้วยเหตุผลเพื่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในกลุ่มประเทศอาเซียน และแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยซึ่งมีสาเหตุมาจากแร่ใยหิน ทั้งในทางสถิติ
โดยเฉพาะจากรายงานในผู้ป่วยตามกลุ่มอายุ ที่วันนี้ มีรายงานถึงกลุ่มเด็ก ในหลายประเทศ ที่มีอัตราเสี่ยงที่จะป่วยต่อแร่ใยหินในหลายประเทศ จากสินค้าประเภท กระเบื้อง ผ้าเบรก และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอย่าง “ไดร์เป่าผม” ที่ “เด็กๆ ได้รับผลจากการใช้จากแม่ พี่สาว และญาติๆ ที่เป็น ผู้หญิง”
รวมถึงการต่อเติมบ้านที่เด็กๆ ที่อาศัยอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรับแร่ใยหินเข้าไปเต็มๆ!!
ด้วยเหตุนี้ ทั้ง 10 ประเทศในอาเซียน จึงหารือกันเพื่อให้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของแร่ใยหินและสินค้าที่มีส่วนผสมของแร่ใยหิน โดยองค์กรที่เทียบเท่ากับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.ในประเทศไทย ของทั้ง 10 ประเทศ ภายใต้การดูแลของ Southeast Asian Consumer Council หรือสภาผู้บริโภคอาเซียน ซึ่งมี “รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์” เป็นประธาน ได้กำหนดมาตรการร่วมกันที่จะใช้ระบบ “One ban all ban” ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันในการแบนสินค้าร่วมกันของทุกประเทศ ตามกติกาที่ว่า “หากประเทศใดมีการแบนสินค้าใดแล้ว ทุกประเทศในภูมิภาคก็จะร่วมแบนด้วยกันทั้งหมด” ที่ดูเหมือนจะเป็นทางออกในการหยุดการแพร่ระบาดของสินค้าที่มีส่วนผสมของแร่ใยหินจากในภูมิภาคอาเซียน
ตามรอยอีกกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ที่ห้ามนำเข้าและห้ามใช้ผลิตภัณฑ์จากแร่ใยหินไปแล้วก่อนหน้านี้
และเป็นอีกหนึ่งในความหวังร่วมกันของชาวอาเซียน ที่ต้องการจะให้ทุกประเทศในภูมิภาค “ปลอดจากแร่ใยหินอย่างสิ้นเชิง หลังการเข้าสู่ AEC” ในอีก 2 ปี ข้างหน้า
ซึ่งเมื่อ “อาเซียน” ทั้ง 10 ประเทศ ต่างเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า“แร่ใยหิน” มีอันตรายมากมายเพียงใด ประเทศก็น่าจะเดินหน้าให้สินค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน “ปลอดแร่ใยหิน” ไปนับตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องรอให้ไปถึงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558
เพราะย้อนกลับไปดูจากสถิติที่ รศ.ดร.วิทยา ได้กล่าวไว้แล้วเกี่ยวกับผู้ป่วย และกลุ่มเสี่ยง ที่แต่ละปี เพิ่มขึ้นทั้งจำนวน และกลุ่มอายุที่น้อยลง อย่างน้อยหากประเทศไทยนำร่องในการเป็นประเทศปลอดสินค้าแร่ใยหิน นอกจากจะเป็นหนึ่งในผู้นำของประเทศอาเซียนแล้ว ยังช่วยเซฟสุขภาพให้กับเด็กๆ ที่เป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงได้อีกมากโข
และควรหรือไม่? ที่ไทยจะเป็นประเทศแรกที่จะเป็น “ประเทศปลอดแร่ใยหิน” เดินหน้าเป็นผู้นำ“One ban all ban” ในฐานะหนึ่งใน “ผู้นำ” ของภูมิภาคอาเซียน ที่ก้าวก่อนใคร ก่อนจะเข้าสู่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี