14 ตุลาคม 2516..เหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อพลังนักศึกษารวมกับประชาชน ขับไล่เผด็จการทหารที่ครองอำนาจอยู่กว่าทศวรรษ ซึ่งถูกบันทึกว่าเป็นครั้งแรกและน่าจะเป็นครั้งเดียวที่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมมากที่สุดกว่า 5 แสนคนจากจุดเล็กๆ ที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งถูกออกหมายจับฐานเรียกร้องการมีรัฐธรรมนูญ รวม 13 คนเรียกว่า “13 ขบถรัฐธรรมนูญ” ระเบิดเป็นการลุกฮือทั้งใน กทม. และหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
จากวันนั้นถึงวันนี้ เรื่องราวของวีรชน 14 ตุลา กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขาน บางคนเปลี่ยนสถานะจากผู้นำมวลชนลงสู่สนามการเมืองในสภา แต่บางคนก็ยังทำงานอยู่กับภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าใครจะไปอยู่ที่ไหน สถานะของ “คนเดือนตุลา”
ก็ยังคงอยู่เสมอ เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปี 14 ตุลา 2516 นี้ “สกู๊ปหน้า 5” ได้รับเกียรติจาก ชัยวัฒน์ สุรวิชัย 1 ใน 13 แกนนำ
เมื่อครั้งนั้น มาให้มุมมองในด้านต่างๆ เกี่ยวกับประเทศไทย จากอดีตสู่ปัจจุบัน รวมไปถึงแง่คิดดีๆ ถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง และเยาวชนคนรุ่นใหม่ทั้งหลายอีกด้วย
- การชุมนุมของคนยุค 14 ตุลา ต่างจากการชุมนุมของคนยุคนี้หรือไม่? อย่างไร?
ชัยวัฒน์ : แต่ละช่วงของการชุมนุม มันเป็นการสะท้อนถึงการมีคนที่คิดอย่างเดียวกัน แล้วก็มีการมารวมกลุ่มกัน เพื่อที่จะชุมนุมเพื่อเป้าหมายหรือเจตนารมณ์ ในแต่ละช่วงของเหตุการณ์บ้านเมือง ทีนี้ในช่วง 14 ตุลา 2516 กับช่วงหลังๆ นี้ ผ่านไปตั้ง 40 ปี มันก็มีอะไรทั้งที่เหมือนกันและแตกต่างกัน ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม เป้าหมายมันชัดเจน แล้วการรวมกลุ่มค่อนข้างจะเป็นเอกภาพ ก็คือในช่วงนั้นมันไม่มีประชาธิปไตย มันเป็นการปกครองโดยเผด็จการทหาร ขณะเดียวกัน ก็มีการรัฐประหารอีกใกล้ๆ นั้น คือ 17 พ.ย. 2514
ตรงนี้เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความไม่เป็นประชาธิปไตย ฉะนั้นคนที่มาชุมนุมจึงมีความคิดเดียวกัน นั่นคือต้องการให้เกิดประชาธิปไตยขึ้นมา ทีนี้คนที่มาร่วม เขาเป็นคนที่ค่อนข้างมีความอิสระ เป็นนักศึกษาที่มีความคิดบริสุทธิ์ เขาก็เลยทำงานเต็มที่ ความเป็นอิสระและบริสุทธิ์นี่เป็นเงื่อนไขที่สำคัญ เพราะถ้าอิสระและบริสุทธิ์ เราก็จะทำตามเป้าหมายที่เราคิดได้ คือไม่ต้องทำตามที่คนอื่นคิด-คนอื่นสั่ง แต่ในช่วงหลังๆ สภาพของเหตุการณ์มันผันแปร มีความสลับซับซ้อน มันมีการมองปัญหาที่แตกต่างออกไปค่อนข้างจะเยอะ
เพราะมันซับซ้อน แต่ 14 ตุลานั่นมันชัดเจน สมัยนี้มันจะมีความไม่ชัดเจนของมัน อาจจะแบ่งเป็นเหลือง-แดง แต่หัวใจสำคัญ คือความเข้าใจในประชาธิปไตย สมัยนั้นมันชัดเจนแต่สมัยนี้ดูไม่ชัดเจน แต่สิ่งสำคัญเราต้องทำความเข้าใจว่า เรื่องของประชาธิปไตยมันคืออะไร? แล้วเรื่องของเผด็จการคืออะไร? สมัย 14 ตุลา หรือหลัง 14 ตุลา คนก็คิดคล้ายๆ กันหมด ไม่ว่านักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่หรือคนที่จบมาแล้ว ว่าเผด็จการมันมี 2 รูปแบบ เผด็จการรูปแบบหนึ่งคือเผด็จการทหาร คือรูปแบบและเนื้อหาก็เป็นเผด็จการ
แต่มันจะมีรูปแบบของเผด็จการรัฐสภา คือรูปแบบมันเป็นประชาธิปไตย แต่เนื้อหาของมันคือเผด็จการ แล้วความหมายในการแยกแยะคืออะไร ถ้าเป็นประชาธิปไตยจะดูได้ 2 อย่าง อย่างแรกคือตัวแทนที่เข้าไปอยู่ในสภา เป็นตัวแทนของคนที่หลากหลายทั้งกลุ่มอาชีพ เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา เป็นคนจน เป็นนักธุรกิจ เป็นกลุ่มชนชาติต่างๆ เข้ามา อันนี้มันถึงจะเป็นตัวแทนที่หลากหลายแต่สมัยนั้นมันจะเป็นนักการเมืองที่สนับสนุนทหาร หรือนักการเมืองที่มีสังกัดต่างๆ ไป หรือพอทำรัฐประหาร ทหารก็แต่งตั้งคนกลุ่มเดียวเข้ามา อันนี้เป็นความหมายของการเป็นตัวแทน
อันที่สองที่สำคัญ และเป็นตัวชี้ ท่านพุทธทาสก็ได้ชี้ให้เห็นชัดว่า ที่เราจะดูประชาธิปไตย ต้องดูที่ธรรมาธิปไตย ก็คือสิ่งที่ทำไปนั้นหรือผลที่ออกมา เป็นไปเพื่อประโยชน์ของใคร ถ้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนของประเทศชาติ มันคือประชาธิปไตย
แต่ถ้ามันเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของคนคนเดียวหรือคนกลุ่มเดียว หรือคนที่ได้เปรียบในสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทหารในสมัยก่อน หรือกลุ่มนักการเมือง กลุ่มทุน ซึ่งตอนนี้ก็พัฒนาเป็นทุนสามานย์ ลักษณะแบบนี้มันก็คือเผด็จการ ถ้าเราแยกตรงนี้ได้ ก็จะเห็นภาพชัดว่าสภาพปัจจุบัน ที่เราจะมองกลุ่มไหน การเคลื่อนไหวอะไรต่างๆ มันเป็นการแสดงออกเพื่อประชาธิปไตยหรือเพื่อเผด็จการ
- แต่จะมีประชาชนที่สนับสนุนกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม บอกว่า “ก็ประชาชนเลือกมา” เขาถือว่าเป็นประชาธิปไตย?
ชัยวัฒน์ : ลักษณะของประชาธิปไตย มันมีองค์ประกอบที่สำคัญ หนึ่งก็คือการเลือกตั้ง มันอยู่ท้ายสุดนะ รูปแบบการเลือกตั้งจะอยู่ท้ายสุด รูปแบบที่สำคัญของประชาธิปไตย คือต้องมีตัวแทนของประชาชนที่หลากหลาย สองคือสิ่งที่ทำไป ต้องเป็นไปเพื่อ
ผลประโยชน์ของประชาชน อันที่สามคือตัวแทนประชาชนต้องมีความเป็นอิสระ ไม่ได้อยู่ในอาณัติใคร คือมีความเป็นอิสระ ต้องมีความเป็นนิติรัฐ คือเป็นกฎหมายบังคับได้ แล้วก็เน้นในเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่มีการเลือกปฏิบัติ
การที่จะบอกว่าประชาธิปไตยเป็นเรื่องของการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวนั้น แต่ถ้าอย่างอื่นไม่ใช่ แสดงว่ามันก็เป็นแค่รูปแบบ
ก็เหมือนกับคนรุ่นนั้น ไม่ว่าจาตุรนต์ ฉายแสง, จรัล ดิษฐาอภิชัย หรือเหวง-ธิดา ก็เคยพูดมา แต่ตอนหลังเขาก็เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้น ในประเด็นนี้ต้องทำความเข้าใจให้ชัด แล้วถ้ายิ่งเอาที่ท่านพุทธทาส
พูดว่าผลประโยชน์ที่ออกมาเพื่อใคร? อันนี้มันก็จะเห็นชัด
เพราะฉะนั้นบางครั้งคนที่พูด ผมเข้าใจว่าคุณทักษิณ หรือแกนนำคนเสื้อแดงอย่างคุณวีระ มุสิกพงศ์ เขารู้อยู่ แต่เพียงว่าในการที่จะพูดกับประชาชน เมื่อเขาอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ เขาก็จะพูดแบบหนึ่ง แต่เมื่อย้อนไปในอดีตเมื่อ 40 ปีก่อน ก็จะพูดแบบที่ผมอธิบาย
- ก็คือสถานะของตัวเองเปลี่ยน การพูดหรือแนวคิดก็จะเปลี่ยน?
ชัยวัฒน์ : สถานะตรงนี้มันก็จะมีหลายสถานะ ทีนี้ปัญหาคือคนที่เข้าไปสู่การเมืองไปแล้ว จุดยืนหรืออุดมการณ์เขายังคงอยู่หรือไม่? เขายังมีความเป็นอิสระอยู่หรือไม่? เขายังต้องการสืบทอดเจตนารมณ์ของคนส่วนใหญ่หรือไม่? เขายังต้องการให้คนส่วนใหญ่ ได้เป็นตัวแทนเข้าไปหรือไม่ตามที่เคยพูดกัน ถ้าไปอ่านประวัติเก่าๆ ก็จะมีกรรมกร ชาวนา นักศึกษา แต่ปรากฏว่ามันไม่มี
แล้วเมื่อเข้าไปสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งพรรคการเมืองเป็นประตูเดียวที่คนอยากจะเป็นผู้แทนต้องไปสมัคร แต่ว่าเวลาเราพูดถึงเรื่องนี้ เราพูดถึงว่าต้องเป็นพรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย แต่ถามว่าพรรคการเมืองแบบของคุณบรรหาร ของคุณสุวัฒน์ หรือพรรคเพื่อไทยของคุณทักษิณ เป็นพรรคการเมืองประชาธิปไตยหรือไม่?
การส่งคนลงสมัคร สส. หรือการกำหนดนโยบายพรรค จะให้ใครเป็นนายกฯหรือเป็นรัฐมนตรี ปรากฏว่าถ้าเป็นพรรคเพื่อไทยก็จะอยู่ที่คุณทักษิณ ถ้าเป็นพรรคชาติไทยก็อยู่ที่คุณบรรหาร อีกพรรคก็อยู่ที่คุณสุวัฒน์ อีกพรรคก็อยู่ที่คุณสมศักดิ์ หรือคุณเนวินก็แล้วแต่
- แล้วพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างไร? เพราะรูปแบบค่อนข้างจะต่างจากพรรคอื่นๆ อยู่พอสมควร
ชัยวัฒน์ : ถ้าเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ในแง่ของรูปแบบเนื่องจากเป็นพรรคที่อยู่มานาน ดังนั้น ความเป็นประชาธิปไตยเขามีในระดับหนึ่ง แต่เขาก็ยังไปไม่ถึงการเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงเพราะอำนาจการตัดสินใจในพรรค อาจจะยังอยู่กับหัวหน้าพรรค เป็นนายกฯ เป็นอดีตนายกฯ ก็ยังมีอยู่มาก เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องมีการปฏิรูปแก้ไข ในส่วนของตรงนี้
ส่วนที่ต้องทำความเข้าใจจริงๆ ในช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน เขาก็ยังมีกรอบคิดที่มีลักษณะเป็นพรรคการเมืองอยู่ระดับกลางๆ พอตัวเองเป็นฝ่ายค้านก็จะมองแบบหนึ่ง แต่พอเป็นรัฐบาลจะมองอีกแบบหนึ่ง จะเห็นว่านักการเมืองเกือบทุกพรรค พอตัวเองเป็นรัฐบาลก็จะมองการชุมนุมของประชาชนผู้เดือดร้อน ว่าทำไมไม่มาต่อสู้ในสภา แต่ในช่วงหลังก็น่ายินดีว่า พอเกิดระบบที่เป็นสภาพปัจจุบัน
ซึ่งระบบการเมืองปัจจุบัน ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ก็ใช้ศัพท์ว่ามันเป็นระบอบเผด็จการรัฐสภา พรรคการเมือง ทุนสามานย์ ความหมายของมันถ้าเรามาตีความให้ชัด ถามว่าสภาพปัจจุบันมันมีความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่? ถ้าเราเอากรอบของประชาธิปไตยอย่างที่กล่าวมา หรือแม้กระทั่งในรัฐสภา ในรัฐสภาของประเทศต่างๆ ที่มีระบบการเลือกตั้ง แน่นอนฝ่ายบริหารก็จะมีอำนาจ
แต่ สส.ของเขาก็จะมีอิสระ อาจจะสังกัดหรือไม่สังกัดพรรคแต่ว่าความเป็นอิสระ ทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน มันจะเหนือกว่ากฎข้อบังคับของพรรค แต่ปัจจุบันนี้มันไม่ใช่ ปรากฏว่าพรรคนี่มันเป็นเผด็จการ เพราะฉะนั้น เขาถึงเรียกว่าระบอบเผด็จการรัฐสภาพรรคการเมือง ทีนี้มาเรื่องทุนสามานย์ มันก็พัฒนาจากสังคมบุพกาลสู่สังคมทาส มาสู่สังคมศักดินา แล้วก็มาสู่ระบบทุนนิยม
ทีนี้มันเป็นทุนนิยมแบบผูกขาดรวมศูนย์อำนาจ พอรวมศูนย์อำนาจมันก็จะกลายเป็นมีลักษณะของความสามานย์ คือความไม่ถูกต้องไม่ชอบธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตย มันก็คู่กับระบบทุนนิยมที่มีคุณธรรม ในทั่วโลกนี่เป็นระบบของทุนสามานย์ มันก็ครอบหมดทั่วโลกขณะเดียวกัน มันก็เข้ามามีอิทธิพลต่อประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยอย่างสูงมาก ดูบริษัทใหญ่ต่างๆ มักจะเป็นของต่างชาติ ฉะนั้นคนที่มีอำนาจขึ้นมาจากระบบเป็นนายทุน พอเห็นช่องว่างก็นำไปใช้
สมัยก่อน พวกบริษัทต่างๆ จะอยู่ภายนอก แต่ว่าคุณทักษิณเห็นช่องทางตรงนี้ ก็เลยเข้ามาตั้งพรรค ซื้อ สส. ซื้อพรรคการเมือง ก็เลยจัดตั้งขึ้นมา พอได้แล้วก็จัดการแบ่งแยกมวลชน เข้าไปเรื่องตำรวจ-ข้าราชการ ใครเป็นพวกก็ได้ดิบได้ดีไป แม้กระทั่งถ้าจังหวัดไหนไม่ได้เลือกพรรคเพื่อไทย แบบภูเก็ต คุณปลอดประสพก็พูดชัดว่าศูนย์ประชุมอย่าเพิ่งเอา เพราะไม่ได้เลือกพรรคเพื่อไทย ลักษณะแบบนี้มันสะท้อนออกมา ว่าเราจะต้องดูจากความเป็นจริง ไม่ใช่ดูจากหลักการที่สวยหรู ก็พูดกันว่ามาจากการเลือกตั้ง เพราะในต่างประเทศก็ยังไม่ใช่ และประเทศไทยยิ่งเห็นชัด
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี