ยังไม่ทันผ่านพ้นเดือนแรกของปีใหม่ ท่ามกลางปัญหาราคาของกินของใช้ที่แพงขึ้น ไม่ว่าจะเนื้อหมู ไข่ไก่ น้ำมันปาล์ม และอีกหลายอย่าง ขนาดยังไม่ถึงเทศกาลตรุษจีน ไม่รู้ว่าพอถึงช่วงนั้นราคาสินค้าต่างๆ จะขึ้นไปอีกเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหมูที่เป็นมหากาพย์เถียงกันไปมาหลายสัปดาห์ว่า สรุปแล้วโรคระบาดเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เกิดขึ้นนานแค่ไหน และเป็นสาเหตุที่ทำให้หมูแพงหรือเปล่า การเข้าถึงข้อมูลเรื่องดังกล่าวค่อนข้างลำบากเพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามบ่ายเบี่ยงเลี่ยงการตอบคำถามสื่อ จนมีนักข่าวไปสอบถามนายกรัฐมนตรีว่าจะแก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพงอย่างไรได้บ้าง ควรมีการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำหรือไม่ คำตอบของนายกรัฐมนตรีคือ “จะเอาเงินมาจากไหน เธอพูดก็ได้หมด แต่เธอก็ต้องหาเงินมาให้ได้ก่อน รัฐบาลจะต้องมีเงินก่อน” (17 ม.ค. 2565)
พอได้ยินแบบนี้แล้ว เลยอยากจะชวนท่านผู้อ่านทุกท่านย้อนกลับไปเมื่อปี 2562 รวมถึงทวนความจำให้กับท่านนายกฯ ที่วันนั้นบนถนนทุกสายทั่วประเทศ เราต่างเห็นป้ายหาเสียงของหลายพรรคการเมือง ที่นอกจากจะมีรูปผู้สมัคร หัวหน้าพรรคไปจนถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแล้วยังเห็นการประชันนโยบาย ที่หลายพรรคนำเสนอเพื่อพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตและจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคแกนนำรัฐบาลที่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เคยนำเสนอนโยบายต่างๆ ไว้ เช่น
“ดันค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท” “เงินเดือน ป.ตรี 2 หมื่น อาชีวะ 1.8 หมื่น”.
“เด็กจบใหม่ยกเว้นภาษี 5 ปี” “ยกเว้นภาษีพ่อค้าแม่ค้า ออนไลน์ 2 ปี” “ลดภาษีบุคคลธรรมดา 10%”
แต่จนถึงวันนี้ผ่านเวลาไป 2 ปีกับอีกเกือบ 200 วันสิ่งที่เห็นเดินหน้าคือ “เลือกความสงบจบที่ลุง”เพราะจนวันนี้สงบเงียบไปหลายนโยบายที่พรรคแกนนำรัฐบาลหาเสียงไว้ ที่เห็นจะไม่เงียบและเสียงดังมีความเคลื่อนไหวอยู่ 2 อย่าง คือ เสียงของท่านนายกฯ และเสียงของ สส. พรรครัฐบาลที่ทะเลาะกันเอง จนเปลี่ยนหัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาลไปสองครั้ง เปลี่ยนที่ทำการพรรคไปสองหน มาถึงเลขาธิการพรรคคนล่าสุดโดนพรรคตัวเองขับออก หัวหน้าพรรคชุดแรกไปตั้งพรรคใหม่อีกรอบแล้ว แต่สิ่งที่ยังไม่เห็นเลยคือ นโยบายที่ได้นำเสนอไว้กับพี่น้องประชาชนได้ถูกผลักดันให้เกิดขึ้นจริง ซ้ำร้ายกลับโดนถามกลับจากผู้นำรัฐบาลว่า “จะเอาเงินจากไหน” ในขณะที่หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า (11 ม.ค. 2565)คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ กรอบงบประมาณปี 2566 ให้กองทัพอากาศ พิจารณาจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีของกองทัพอากาศ เพื่อทดแทนเครื่องบิน F16งบประมาณ 13,800 ล้านบาท
แต่จะว่าพรรครัฐบาลทุกพรรคก็ไม่ได้ เพราะก็มีบางพรรคที่พยายามทำตามนโยบายหาเสียงไว้ทั้งที่เห็นชัดๆ ก็คงจะเป็นเรื่องการผลักดันกัญชาให้ถูกกฎหมาย (ที่วันนี้ยังเถียงกันอยู่ว่าปลูกได้หรือปลูกไม่ได้)และนโยบายประกันรายได้เกษตรกร (แต่ก็ยังแก้ปัญหาราคาสินค้าแพงไม่ได้) ผ่านการประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านรู้ด้วยการใช้งบประมาณของกระทรวงมาทำสื่อโฆษณาโปรโมทนโยบาย จัดงานอีเว้นท์ใส่รูปรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงติดไปทั่วทุกหนแห่ง
แม้ว่ามีกฎหมาย พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ระบุไว้ใน มาตรา 57 ว่า “การกำหนดนโยบายของพรรคการเมืองที่ใช้ในการประกาศโฆษณาให้คำนึงถึง… วงเงินที่ต้องใช้และที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินการ ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดำเนินนโยบาย และผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย” ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าแท้จริงแล้วก่อนการเลือกตั้งพรรคแกนนำรัฐบาลได้ดำเนินการตามมาตรา 57 ไว้อย่างไร และทำไมในวันนี้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคถึงบอกว่า “จะเอาเงินจากไหน”
เอาเป็นว่าเราจะไม่ตั้งความหวังว่าแต่ละพรรคจะออกมาโปรโมทว่าตัวเองทำอะไรไปบ้างอยู่ฝ่ายเดียวแต่เราทุกคนในฐานะประชาชนควรจะสามารถติดตาม-ตรวจสอบได้ว่าการผลักดันนโยบายของแต่ละพรรคการเมืองที่ได้นำเสนอไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง มีการดำเนินการไปแล้วบ้างหรือไม่ ทำแล้วกี่ข้อจากทุกเรื่องที่หาเสียงไว้ เป็นข้อมูลเผื่อไว้ประกอบการตัดสินใจเลือกตั้งในครั้งต่อไป
ในต่างประเทศมีแนวคิดเรื่อง Promise Tracker(การติดตามคำสัญญา) ในการนำเทคโนโลยีมาช่วยประชาชน ในกระบวนการติดตามสัญญาของนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ได้หาเสียงไว้ และยังเป็นการเพิ่มความรับผิดชอบของ “ผู้แทนราษฎร” ให้รู้ว่าประชาชนที่มอบอำนาจให้เขาไปทำหน้าที่แทนนั้นจับตาการทำงานของเขาอยู่ว่าทำตามที่สัญญาเอาไว้หรือไม่ ผ่านการใช้และรวบรวมข้อมูลที่เกิดจากความร่วมไม้ร่วมมือของคนในแต่ละชุมชน สังคม หรือประเทศ เพื่อทำความเข้าใจปัญหาและสร้างบทสนทนาเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกับตัวแทนที่ได้รับเลือกตั้งในระดับต่างๆ ทั้งท้องถิ่นและระดับประเทศเพื่อสร้างการพัฒนา (อ่านเพิ่มเติมได้ที่promisetracker.org/en/about และ thematter.co/thinkers/120-promise-tracker)
ตัวอย่างเครื่องมือ Promise Tracker ที่ภาคประชาชนในต่างประเทศสร้างขึ้น เช่น polimeter.org สำหรับติดตามการทำงานของนายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด และนักการเมืองในประเทศแคนาดา นำเสนอข้อมูลจำนวนคำสัญญาที่ได้ให้ไว้ และเปรียบเทียบสถานะคำสัญญานั้นๆ ในรูปแบบกราฟว่าเรื่องใดดำเนินการแล้วหรือไม่ หรือ Biden Promise Trackerของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โจ ไบเดน ที่ได้พูด สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลผ่านช่องทางต่างๆ นำมารวบรวมโดยสำนักข่าว PolitiFact (www.politifact.com/truth-o-meter/promises/biden-promise-tracker) และนำเสนอข้อมูลว่ามีเรื่องใดบ้าง กี่เรื่องที่ได้ดำเนินการแล้ว กี่เรื่องอยู่ระหว่างดำเนินการ กี่เรื่องที่ยังไม่คืบหน้า
แต่อย่างพึ่งหมดหวังครับ เพราะเร็วๆ นี้ ประเทศไทยของเราก็กำลังจะมี Promise Tracker ที่พัฒนาโดยภาคประชาชน “ทีม #WeVisDemo กำลังทำโปรเจกท์
“Promise Tracker ติดตามคำสัญญาตอนหาเสียง”อยู่ หากใครอึดอัดใจกับการใช้คำพูดเปลืองของพรรค/นักการเมืองไทย เรายังหาคนมาช่วยกันทำข้อมูล +develop เว็บ” (ดูรายละเอียดที่ https://www.facebook.com/wevisdemo/) ใครที่สนใจก็เข้าไปร่วมไม้ร่วมมือกันได้นะครับ อย่างน้อยก็จะได้ทำให้เรามีฐานข้อมูลเอาไว้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไปเพิ่มขึ้นอีกชุดหนึ่ง นักการเมืองเองก็จะได้รู้ว่าที่หาเสียงไปมีคนติดตามอยู่ และเราเองก็จะได้ไม่เผลอเลือกนักการเมืองที่พูดแล้วไม่ทำครับ
แต่ก็ไม่แน่ใจว่าวันที่เครื่องมือพัฒนาเสร็จ รัฐบาลนี้จะยังอยู่ไหมนะครับ !
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี