เชื่อหรือไม่ว่า “การมีส่วนร่วมตามหลักธรรมาภิบาล”มีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาป่าไม้ได้
หากพูดถึงเรื่องป่าไม้ เรากำลังพูดถึงชาวบ้านที่ดำรงชีพด้วยการเข้าไปหาอาหารในป่า แต่ต้องย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย แถมมีคดีบุกรุกพื้นที่ป่าติดตัว บางคดีต่อสู้ยาวนานมากกว่า 10 ปี และบางคดีก็ยังไม่จบสิ้น ซึ่งส่วนใหญ่ชาวบ้านมักจะลงเอยด้วยการบุกรุกพื้นที่ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต และสมการนี้เอง รัฐมักเป็นผู้ได้เปรียบอยู่เสมอ !
เมื่อความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารได้เพิ่มศักยภาพรองรับความต้องการของผู้บริโภค ส่งผลให้เกษตรกรปลูกพืชเชิงเดี่ยวหรือพืชเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งก็เป็นการปลูกเพื่อขายมากกว่าเพื่อดำรงชีพ ทำให้พื้นที่ป่าถูกรุกล้ำเพราะต้องใช้พื้นที่ในการเพิ่มปริมาณผลผลิต และสมการนี้เอง ชุมชนท้องถิ่นมักเป็นจำเลยอยู่เสมอ !
รัฐพยายามทำให้เห็นว่า “ป่า” เป็นเรื่องของความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เห็นได้จากสัมปทานป่าไม้ ทำเหมืองแร่ส่งเสริมพืชพาณิชย์ รวมไปถึงการท่องเที่ยวและแคมเปญเพื่อสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมมูลค่าการท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่ป่าตามความหมายของรัฐจะไม่มี “ชุมชน” หรือ “คน” เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น ความหมายของ “ป่า” จึงเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่มีเพียงรัฐเท่านั้นที่เข้าไปได้
มาถึงตรงนี้ หลายคนสงสัยว่า “หลักธรรมาภิบาล”สามารถแก้ปัญหาเชิงซ้อนระหว่างคนกับป่าได้จริงหรือไม่คำตอบคือ ได้ เพียงแต่เราต้องเข้าใจก่อนว่าหลักธรรมาภิบาลหรือ Good Governance คือการมีส่วนร่วมของสาธารณชนที่เข้ามาช่วยสร้างความโปร่งใส สามารถตรวจสอบบนพื้นฐานข้อมูล โดยต้องมีความชอบธรรมและยุติธรรมเพื่อสร้างกลไกธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้นได้จริง
เราไปดูกรณีศึกษาจากป่าชุมชนแม่ทา อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ป่าชุมชนแม่แบบที่นำกลไก ธรรมาภิบาลเข้ามาบริหารจัดการ โดยเดิมทีแม่ทา เป็นพื้นที่ทับซ้อนที่มีปัญหาระหว่างรัฐ ผู้ถือครองโฉนดที่ดินและมีอำนาจผูกขาด กับชุมชนแม่ทา คนพื้นเมืองที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานมากกว่า 300 ปี ซึ่งใช้ชีวิตและหากินบนพื้นที่มายาวนานกว่ากฎหมายป่าไม้เสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดี ทรัพยากรที่ค่อยๆ หมดไป เพราะนโยบายเศรษฐกิจจากรัฐที่พยายามส่งเสริมการค้า มองว่าทรัพยากรและที่ดินคือความมั่งคั่งที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศชาติ ทำให้ชาวบ้านต้องเปลี่ยนวิถีเกษตรเป็นเชิงการค้ามากขึ้นมีการขยายพื้นที่ทำกินและแย่งชิงทรัพยากร ขณะเดียวกันที่ดินก็ถูกขายให้กับนายทุน ซ้ำร้ายพื้นที่แม่ทากำลังจะประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ ปี พ.ศ.2525 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัยของชาวบ้านหลายครัวเรือน
ธรรมาภิบาลจึงเข้าไปคืนอำนาจการจัดการให้กับชุมชนท้องถิ่น โดยเกิดจากความร่วมมือของคนในพื้นที่เอง เริ่มจากการจัดตั้งผู้นำและแกนนำบริหารจัดการ นำเอาภูมิความรู้และงานวิชาการเข้ามาเป็นแรงจูงใจที่ช่วยขับเคลื่อนในด้านถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินและการดูแลทรัพยากรทางธรรมชาติ มีแผนการจัดการป่าชุมชนที่มาจากการสำรวจความต้องการของคนในพื้นที่ มีระบบสารสนเทศในการจัดเก็บข้อมูลของป่าและบริการทางนิเวศอย่างเป็นรูปธรรม รวมไปถึงกลไกบริหารจัดการที่มีชุมชนเป็นคณะกรรมการและติดตามผลดำเนินการมากกว่า 50 ปี
ชุมชนแม่ทาใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดสรรที่ดิน โดยประยุกต์ข้อมูลที่มีร่วมกับงานวิชาการและกฎหมายเพื่อต่อรองอำนาจรัฐ อาศัยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย, ส่วนที่ 12 สิทธิชุมชน มาตรา 66 ระบุถึงสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณีภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นสิทธิดั้งเดิมของชุมชนท้องถิ่น, และ มาตรา 67 บัญญัติไว้ว่าสิทธิของบุคคลที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐ และชุมชนในการอนุรักษ์ บำรุงรักษาและการได้ประโยชน์จากทรัพยากรทางธรรมชาติร่วมกัน
เราจะเห็นมิติของ “คน” เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องมากขึ้น มีบริการข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ป่า ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับพูดคุย หรือต่อยอดการทำงาน โดยที่ชาวบ้านเองก็สามารถเข้ามาตรวจสอบได้ด้วย ส่วนการแก้ไขปัญหาก็ไม่ได้มาจากคนที่ไม่รู้ปัญหามาดำเนินการแก้ไขซึ่งเป็นรูปแบบ Top-Down Approach แต่มาจากเสียงของชาวบ้านที่เจอกับปัญหาจริงๆ ซึ่งตอบกับความต้องการของพวกเขาเองแล้วสะท้อนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แต่ก่อนเราจะเห็นว่าน้ำหนักอำนาจสั่งการตกอยู่ที่รัฐ แต่แม่ทาพยายามใช้กลไกธรรมาภิบาลเพื่อดึงอำนาจรัฐให้สมดุลกับอำนาจประชาชน นำมาสู่การมีส่วนร่วมทุกภาคส่วนเพื่อการสะท้อนและแก้ไขปัญหา บริบทของคนจึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับป่ามากขึ้น และจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าพวกเขาในฐานะชาวบ้านที่คุ้นชินกับทรัพยากรจะไม่เข้ามาแก้ไขและบริหารจัดการพื้นที่ป่าแห่งนี้ซะเอง
แม่ทา กลายเป็นต้นแบบการจัดการป่าชุมชนให้กับหลายๆ พื้นที่ในการบริหารจัดการพื้นที่ทำกินสัมพันธ์กับทรัพยากรป่าไม้ เช่นเดียวกับ อำเภอสันติสุข จังหวัดน่านที่อดีตเป็นเคยเป็นพื้นที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว มีการทำลายพื้นที่ป่าเพื่อการเพาะปลูก ใช้สารเคมีในระดับที่รุนแรงซึ่งปนเปื้อนลงสู่แม่น้ำน่าน ต้นน้ำสำคัญที่ไหลบรรจบเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาที่เราใช้อุปโภค-บริโภค
สันติสุข จังหวัดน่าน กำลังฟื้นฟูคุณภาพชีวิตและทรัพยากรทางธรรมชาติให้กลับคืนมาเหมือนเดิม โดยมีชุมชนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการป่าไม้ ทั้งนี้ ปัจจุบันอยู่ในช่วงระดมทุนภายใต้ โครงการต้นไม้ของเรา (Tree for All: T4A) เพื่อเป็นทุนให้เกษตรกรมีความมั่นใจหันมาดูแลฟื้นฟูพื้นที่ป่า โดยผู้บริจาค 100 บาท แลกมากับกล้าไม้และการติดตามผลตลอดระยะเวลา 3 ปี ซึ่งเกษตรกรจะเป็นผู้เลือกกล้าไม้ลงดินให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ ลดปลูกข้าวโพดเพื่อปศุสัตว์ หรือพืชเชิงเดี่ยวอื่นๆ ในอนาคต (สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://taejai.com/th/d/tree-for-all/)
นอกจากมิติแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้แล้ว หลักธรรมาภิบาลยังเป็นหลักการที่สามารถนำมาใช้กับมิติอื่นๆ ได้อีกมากมาย เหมือนกับมิติป่าไม้ ที่ช่วยเพิ่มอำนาจการจัดการพื้นที่ป่าให้แก่ประชาชน สร้างดุลอำนาจต่อรองกับรัฐ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขยายขอบข่ายการทำงานต้านโกงได้อีกด้วย
..................................................
อ้างอิง
[1] การจัดการความรู้ของชุมชน เพื่อสร้างความมั่นคงในที่ดินและลดพฤติกรรมทำงานสิ่งแวดล้อมของคนในชุมชน: กรณีศึกษา ตำบลแม่ทา อำเภอแม่ออน จังหวัดใหม่ (นพรัตน์ ดวงแก้วเดือน, ธงชัย ภูวนาถวิจิตร,
และ ชรินทร์ มั่งคั่ง)
[2] www.recoftc.org/thailand
วรรณภณ หอมจันทร์ Hand Social Enterprise
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี