ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ จนถึงวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 เป็นช่วงเวลาสำคัญประจำปีของการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในระดับโลก โดยหลายประเทศทั่วโลกได้เข้าร่วมการประชุมเวทีหารือระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (High-Level Political Forum on Sustainable Development) หรือ HLPF ที่มีเป้าหมายเพื่อติดตามและทบทวนความก้าวหน้าของการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030 โดยในที่ประชุมจะร่วมกันพิจารณาความท้าทายใหม่ๆ และแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เกิดขึ้นใหม่ รวมถึงเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาสังคมมีเวทีที่เท่าเทียมกับภาครัฐในการตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาต่อแนวทางการขับเคลื่อนเป้าหมายต่างๆ ทำให้ข้อเสนอแนะที่ได้จากเวที HLPF
มีความสดใหม่ สอดรับกับสถานการณ์ท้าทายที่นานาประเทศต้องเร่งดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในปี 2030 โดยแต่ละปีจะมีธีมและประเด็นเป้าหมายที่มุ่งเน้นแตกต่างกันไป ในปีนี้ดำเนินการภายใต้หัวข้อ“การฟื้นฟูศักยภาพให้กลับมาเข้มแข็งจากโควิด-19 และผลักดันการขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ไปสู่วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030”
ผู้เขียนในฐานะนักวิจัยที่ติดตามการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทยมาตลอด รู้สึกตื่นเต้นกับการประชุม HLPF ในทุกๆ ปี เพราะเราจะได้เห็นความก้าวหน้าในการผลักดันเป้าหมายและตัวอย่างความสำเร็จของแต่ละประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสามารถนำมาเป็นBest Practice ให้กับประเทศไทยได้ อย่างไรก็ดี ในบทความนี้คงจะไม่ได้รายงานผลของเวที HLPF 2565 เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการประชุม แต่ประเด็นในปีนี้ยังคงเป็นประเด็นต่อเนื่องจากปี 2564 ที่มุ่งเน้นการลดผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จึงขอชวนผู้อ่านทุกท่าน มาร่วมกันทบทวนประเด็นสำคัญจากข้อเสนอแนะของเวที HLPF ในปีที่ผ่านมา ซึ่งตัวแทนจากทั่วโลกได้ส่งสัญญาณสำคัญเพื่อเร่งฟื้นฟูผลกระทบจากโควิด-19 ไว้หลายเรื่อง เช่นยุติความยากจนและความหิวโหย ลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสร้างสังคมที่มีความเท่าเทียมมากขึ้น โดยประเด็นเร่งด่วนเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030 คือ เป้าหมายที่ 16 ที่มุ่งเน้นให้ทุกคนเข้าถึงความยุติธรรม และสร้างสถาบันที่มีประสิทธิผล รับผิดชอบและครอบคลุมในทุกระดับ ถึงแม้ว่าจะเป็นเป้าหมายที่มีความสำคัญมากต่อภาพรวมการดำเนินงานแต่ก็มีความยากในการนำไปปฏิบัติจริง เพราะเป้าประสงค์ภายใต้เป้าหมายที่ 16 มีความเชื่อมโยงอย่างแนบแน่นกับระบบการเมือง รูปแบบการปกครองและการบริหารงานของรัฐบาล เห็นได้จากผลสำรวจของสาธารณชนในหลายประเทศ พบว่าประชาชนไม่ได้ตระหนักถึงบทบาทของเป้าหมายเท่าที่ควร ซึ่งอาจมาจากการที่รัฐไม่ได้ให้ความสำคัญด้วย ทำให้ขาดกลไกภาคประชาชนในการติดตามเป้าหมาย รวมถึงในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา องค์กร Sustainable Development Solutions Network (SDSN) ได้ประเมินความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของแต่ละประเทศ พบว่าเป้าหมายที่ 16 ในภาพรวมของทุกภูมิภาคอยู่ในสถานะท้าทายมาก และไม่มีความคืบหน้า
ผู้เขียนจึงอยากนำเสนอวิสัยทัศน์ของเป้าหมายที่ 16 ซึ่งมีผลต่อการขับเคลื่อนเป้าหมายอื่นๆ ให้บรรลุผลสำเร็จ เพราะการพัฒนาที่ยั่งยืนต้องอาศัยกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายที่มีประสิทธิภาพเป็นแกนหลักในการดำเนินงาน และต้องเกิดการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิผล ผ่านสถาบันของรัฐที่มีความโปร่งใส มีธรรมาภิบาล และปราศจากการทุจริตคอร์รัปชัน ดังนั้น เป้าหมายดังกล่าวจึงเป็นรากฐานของความสำเร็จที่ยั่งยืนของทุกเป้าหมาย และถูกยกเป็นประเด็นสำคัญเฉพาะด้านที่ต้องเร่งดำเนินการบนเวที HLPF อีกด้วย โดยได้เรียกร้องให้นานาประเทศร่วมกันสร้างสังคมที่มีสันติสุข มีความเท่าเทียม และมีความครอบคลุมมากขึ้น ด้วยการกำหนดให้มีการเชื่อมโยงเป้าหมาย 4 ด้านนี้ไว้ด้วยกัน ได้แก่ เป้าหมายที่ 3 (สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี) เป้าหมายที่ 10 (ลดความเหลื่อมล้ำ) เป้าหมายที่ 16 (ความสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง) และเป้าหมายที่ 17 (หุ้นส่วนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน) เพราะการบรรลุเป้าหมายที่ 16 นั้นหมายถึง การที่แต่ละประเทศมีกลไกตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชัน และมีการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม การสร้างหลักประกันด้านสุขภาพ และการคุ้มครองทางสังคมกับทุกคนอย่างทั่วถึง เพราะสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันภายใต้สถานการณ์ของโควิด-19 ยิ่งส่งผลให้มีอัตราการติดต่อโรคที่สูงขึ้นอันมาจากการผูกขาดยาและวัคซีน และการขาดหลักประกันสุขภาพในการเข้าถึงการรักษาของประชากรกลุ่มเปราะบาง
สอดคล้องกับที่ Ghada Waly ผู้อำนวยการบริหารสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) และผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานสหประชาชาติ (UN) ได้เน้นย้ำถึงผลกระทบของการทุจริตในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้หลายประเทศสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลที่สามารถนำไปสร้างความคุ้มครองทางสังคมให้กับประชาชน ก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันโรคที่จำเป็นและบริการทางสังคมหรือความช่วยเหลือจากรัฐในช่วงวิกฤต โดยได้คาดการณ์ว่าการทุจริต การติดสินบน การหลีกเลี่ยงภาษี และการเงินที่ผิดกฎหมาย
ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาสูญเสียรายได้ประมาณ 1.26 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สามารถพัฒนาประเทศได้เป็นเวลาอย่างน้อย 6 ปี นอกจากนี้ การทุจริตคอร์รัปชันยังส่งผลกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายอื่นๆ เช่น การทุจริตในโรงพยาบาลส่งผลต่อเป้าหมายที่ 3 (สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี) การทุจริตในภาคการศึกษาส่งผลต่อเป้าหมายที่ 4 (การศึกษาที่มีคุณภาพ) รวมถึงยังส่งผลต่อเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงบริการที่ดำเนินการโดยรัฐ เช่น น้ำสะอาด หรือแหล่งพลังงานราคาถูกอีกด้วย
จากผลกระทบที่เกิดขึ้น ผู้นำที่ขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนต่างเห็นตรงกันว่าการทุจริตคอร์รัปชันส่งผลกระทบต่องบประมาณโดยรวมของประเทศ และคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง ที่สำคัญยังเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030 เช่น เกิดความไม่มั่นคงภายในประเทศ ประชาชนเผชิญกับความยากจนและความหิวโหย ขาดโอกาสในการมีความเป็นอยู่ที่ดี มีการจ้างงานที่น้อยลง ความไม่เป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม และภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การส่งเสริมธรรมาภิบาล และการลดการทุจริตคอร์รัปชันเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030 ที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการภายใต้เป้าหมายที่ 16 โดยกำหนดเป้าหมายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันไว้ในเป้าประสงค์ที่ 16.5 (ลดการทุจริตและรับสินบน) ผ่านตัวชี้วัดที่ 16.5.1 สัดส่วนของบุคคลที่เคยติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและมีการให้สินบนหรือถูกเรียกสินบน และตัวชี้วัดที่ 16.5.2 สัดส่วนขององค์กรธุรกิจที่เคยติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและมีการให้สินบน หรือถูกเรียกสินบน โดยใช้ตัวชี้วัดจากการประเมินของ UNODC และ World Bank อย่างไรก็ตาม Matthew Jenkins นักวิจัยจากองค์กรโปร่งใสนานาชาติ ได้ตั้งข้อสังเกตถึงแนวทางการติดตามความคืบหน้าในการลดปัญหาการคอร์รัปชันภายใต้เป้าประสงค์ที่ 16.5 ซึ่งระบุเป้าหมายเพื่อลดการคอร์รัปชันในทุกรูปแบบ แต่ตัวชี้วัดกลับมุ่งเน้นไปที่การติดสินบนในภาคราชการเท่านั้น โดยไม่ครอบคลุมการทุจริตทางการเมือง การฟอกเงินและการล็อบบี้ ซึ่งเป็นปัญหาคอร์รัปชันเชิงนโยบายที่สร้างความเสียหายร้ายแรงให้กับประเทศและประชาชน ทำให้การใช้ตัวชี้วัดดังกล่าวอาจไม่สะท้อนความเป็นจริงของสถานการณ์ในประเทศ
ในประเด็นนี้ สหประชาชาติและองค์กรโปร่งใสนานาชาติเองก็ได้สนับสนุนให้ประเทศต่างๆ ปรับปรุงตัวชี้วัดให้มีความครอบคลุม เฉพาะเจาะจง เพื่อให้การรวบรวมข้อมูลและการกำกับดูแลเป้าหมายสะท้อนถึงข้อกังวลและสถานการณ์ทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นจริงในประเทศ รวมถึงสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีในการเก็บข้อมูล เพื่อสร้างความโปร่งใสและสร้างความไว้วางใจในการได้มาซึ่งข้อมูลที่เพียงพอสำหรับการประเมินเชิงลึกที่นำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายหรือมาตรการในการแก้ปัญหาได้ทันที อันจะเป็นประโยชน์ต่อการวัดผลความคืบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเทียบเคียงกับตัวชี้วัดระดับโลกได้ เช่น ประเทศอินโดนีเซียได้เพิ่มตัวชี้วัดที่จัดทำขึ้นในประเทศเพื่อติดตามเป้าประสงค์ที่ 16.5 เช่น ดัชนีประเมินพฤติกรรมสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต ดัชนีประสบการณ์การทุจริตคอร์รัปชันที่เกี่ยวข้องกับการบริการสาธารณะในภาคท้องถิ่น ดัชนีการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการทุจริต และประเทศอังกฤษได้เพิ่มตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลและการรายงานการทุจริต เช่น สัดส่วนของเจ้าหน้าที่อาวุโสและสมาชิกรัฐสภาที่เปิดเผยผลประโยชน์ทางการเงิน สัดส่วนของผู้รายงานเรื่องสินบน และการมีกลไกแจ้งความคดีทุจริตสำหรับประชาชนโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ประเทศไทยสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาตัวชี้วัดสถานการณ์คอร์รัปชันให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นได้
นอกจากนี้ องค์กรที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ได้มีข้อเสนอแนะให้นานาประเทศขับเคลื่อนเป้าประสงค์ 4 ด้านภายใต้เป้าหมายที่ 16 ไปพร้อมๆ กัน ในลักษณะของการบูรณาการตัวชี้วัดย่อยที่มีเป้าหมายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ได้แก่ เป้าประสงค์ที่ 16.4 ลดการลักลอบค้าอาวุธ ฟอกเงิน และต่อสู้กับองค์กรอาชญากรรม เป้าประสงค์ที่ 16.5 ลดการทุจริตในตำแหน่งหน้าที่และการรับสินบนทุกรูปแบบ เป้าประสงค์ที่ 16.6 พัฒนาสถาบันที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป้าประสงค์ที่ 16.10 การเข้าถึงข้อมูลและการปกป้องเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป้าประสงค์เหล่านี้เปรียบเหมือนภาพในฝันของสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของประเทศที่บรรลุเป้าหมายที่ 16 ได้สำเร็จ ดังนั้น การทำภาพฝันนี้ให้เป็นจริง จึงไม่สามารถชี้วัดได้ด้วยเป้าประสงค์ที่ 16.5 เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องอาศัยการขับเคลื่อนในเป้าหมายอื่นๆ ร่วมด้วย เพราะการลดการคอร์รัปชันต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญ คือการมีสถาบันที่เข้มแข็ง โปร่งใส ตรวจสอบได้ การมีธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการภาครัฐ การออกกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายร่วมกัน และการมีกลไกภาคประชาชนในการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ ซึ่งทั้งหมดสะท้อนอยู่ในเป้าประสงค์ 4 ข้อที่ระบุไว้ข้างต้น
สำหรับประเทศไทย เมื่อพิจารณาความท้าทายที่เกิดขึ้นในการขับเคลื่อนเป้าประสงค์ที่ 16 ในช่วงที่ผ่านมา ค่าเป้าหมายยังคงอยู่ในสถานะความท้าทายมากและไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะมียุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และมีหน่วยงานทั้งรัฐ เอกชนและประชาสังคมที่ทำงานเรื่องเสริมสร้างธรรมาภิบาลและต่อต้านคอร์รัปชันอยู่มากแล้ว แต่ยังขาดการสนับสนุนอย่างเป็นระบบในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันโดยที่ผ่านมา มุ่งเน้นไปที่การลดการทุจริตในระดับเจ้าหน้าที่รัฐมากกว่าการพัฒนาระบบธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้นในสถาบันหลัก อีกทั้ง ยังขาดความร่วมมือและประสานข้อมูลกันอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นได้จากการที่ภาครัฐยังไม่มีฐานข้อมูลหรือตัวชี้วัดที่สมบูรณ์เพียงพอที่จะใช้ประเมินแต่ละเป้าประสงค์ตามเป้าหมายที่ 16 รวมถึงขาดตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงความเสี่ยงต่อการคอร์รัปชันในประเทศไทย และการสร้างช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมประเมินความเสี่ยง
ดังนั้น ในอีกไม่ถึงสิบปีข้างหน้า หากประเทศไทยต้องการบรรลุเป้าหมายตามที่ระบุไว้ในวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 จำเป็นต้องขับเคลื่อนเป้าหมายในลักษณะของการเชื่อมโยงตัวชี้วัดย่อย ที่เกื้อกูลกัน (Synergy) ระหว่างเป้าหมายการลดทุจริตคอร์รัปชันและองค์ประกอบอื่นๆ ได้แก่ การสร้างหลักประกันการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกัน การเคารพสิทธิมนุษยชน การมีหลักนิติธรรมและธรรมาภิบาลที่มีประสิทธิผลในทุกระดับ การมีสถาบันที่โปร่งใสมีประสิทธิภาพ ตรวจสอบได้ และการเข้าถึงข้อมูลเปิดที่สำคัญของประชาชน อันเป็นแนวทางที่มีประสิทธิผลในการต่อต้านการคอร์รัปชันอย่างยั่งยืน และส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อการขับเคลื่อนเป้าหมายอื่นๆ ให้บรรลุผลสำเร็จได้ในคราวเดียวกันโดยไม่ทิ้งประเด็นสำคัญ หรือประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการคอร์รัปชันไว้ข้างหลัง
สุภัจจา อังค์สุวรรณ Hand Social enterprise
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี