ช่วงนี้บรรยากาศการเมืองคึกคักกันมาก เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงการเลือกตั้งปี 2566 แต่ละพรรคต่างนำเสนอนโยบายของตัวเองกันเต็มที่ ทั้งส่งเสริมสวัสดิการ ปรับค่าแรงขั้นต่ำ ลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค และอื่นๆ นับไม่ถ้วน และทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งสิ่งที่มักจะตามมาคือ “วาทกรรมทางการเมือง”
วาทกรรมการเมือง (Political Discourse) กล่าวโดยสรุป คือแนวคิดที่ให้ความสนใจและความสำคัญในกิจกรรมของการสื่อความหมายทางภาษา การแสดงความคิดทางการเมือง โดยมีการถ่ายทอดเพื่อดำรงรักษา หรือนำการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไปด้วย ข้อมูลจากบทความ วาทกรรมการเมือง (Discourse) โดย ธนชาติ แสงประดับธรรมโชติ (2553) ซึ่งวาทกรรมการเมืองอยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน หากย้อนกลับไปก่อน พ.ศ. 2494 เกิดวาทกรรม “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” โดย พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์คงพอจะเป็นประโยคที่คุ้นหูอยู่บ้าง หรือช่วงพ.ศ. 2535 วาทกรรม “เสียสัตย์เพื่อชาติ” โดย พลเอกสุจินดา คราประยูร มาจนถึงการเลือกตั้งปี’62 ที่ผ่านมา ก็มีการผลิตวาทกรรมใหม่อย่าง “สู้ไปกราบไป” มาใช้ ส่วนวาทกรรมที่บทความนี้จะพูดถึงเป็นวาทะที่ถูกผลิตมานานกว่า 10 ปีและยังคงอยู่เรื่อยมา คือวาทกรรม “นักการเมืองเลว”
วาทกรรมนี้ไม่สามารถระบุที่มาได้ว่าใครใช้เป็นคนแรก แต่เป็นที่รู้กันว่ามีการใช้อย่างมากช่วง พ.ศ. 2549 หลังเหตุการณ์รัฐประหาร โดยส่วนใหญ่จะหมายถึงนักการเมืองที่เข้ามาเล่นการเมืองเพื่อหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง นักการเมืองที่ทุจริต ทำลายชาติบ้านเมือง จากประสบการณ์ผู้เขียนเองก็เคยพูดคุยกับญาติผู้ใหญ่เกี่ยวกับพรรคการเมืองที่สนใจในการเลือกตั้งที่จะมาถึง ก็ได้คำตอบว่า “ไม่อยากเลือกใครเพราะนักการเมืองมีแต่คนเลว” แนวคิดนี้สะท้อนความคิดของผู้ใช้วาทกรรม “นักการเมืองเลว” ได้เป็นอย่างดี แต่มันก็ทำให้ผู้เขียนคิดตามว่า ถ้านักการเมืองเลวแล้วใครดี ?
ในประวัติศาสตร์บริหารของประเทศถ้าไม่ใช่นักการเมือง อีกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวพันคงเป็นใครไม่ได้นอกจากกลุ่ม “ทหาร” จากสถิติทำเนียบนายกฯ ประเทศไทย พบว่า เรามีนายกรัฐมนตรีทั้งหมด 29 คน นายกฯที่มาจากพลเรือน 16 คน และนายกฯที่มาจากทหาร 13 คน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการรัฐประหาร หากเทียบกันแล้วก็มีจำนวนใกล้เคียงกันมาก แบบนี้วาทกรรม “นักการเมืองเลว”ที่บอกว่านักการเมืองทุจริต หมายความว่า กลุ่มทหารไม่ทุจริตใช่หรือไม่ ?
ถ้าย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ดูข้อมูลกลุ่มนักการเมืองที่มาจากทหารเองก็มีความเกี่ยวพันกับเรื่องทุจริตและความไม่โปร่งใสไม่ต่างกัน ตัวอย่าง พ.ศ. 2500 จอมพล ป.พิบูลสงคราม เคยใช้อำนาจในการบังคับให้ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เลือกให้ตนได้เป็นนายกฯ จนถูกเรียกว่า “การเลือกตั้งที่สกปรกที่สุด” พ.ศ. 2502-2506 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ หลังจากเสียชีวิตก็มีคดีอื้อฉาวเรื่องการแบ่งทรัพย์สินของเหล่าภรรยาจนนำไปสู่การสอบสวนและพบว่าระหว่างที่อยู่ในตำแหน่ง จอมพลสฤษดิ์ มีการทุจริตเงินค่าส่วนลดสลากกินแบ่งรัฐบาล งบราชการลับไปเข้าบัญชีส่วนตัว และอีกหลายคดี จนถูกยึดทรัพย์จำนวนหกร้อยล้าน
และ พ.ศ. 2531-2534 ในยุคของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ที่แม้จะไม่ได้มาจากการรัฐประหารแต่เป็นนายกฯ ที่เติบโตมาจากเครือข่ายทหาร ในช่วงการบริหารของรัฐบาลพลเอกชาติชาย เป็นช่วงที่ถูกพูดถึงเรื่องการทุจริตอย่างมากจนถูกเรียกว่าเป็นรัฐบาล บุฟเฟ่ต์คาบิเนต (Buffet cabinet)
ข้ามมาจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้เรามีรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แรกเริ่มก็มาจากการรัฐประหารใน พ.ศ. 2557 แม้พลเอกประยุทธ์ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคดีทุจริต แต่อย่างไรก็ยังมีการตั้งคำถามจากประชาชนในเรื่องความโปร่งใส ตัวอย่างเรื่องของทรัพย์สินที่มีการเปิดเผยล่าสุดใน ปี พ.ศ. 2557 แต่หลังจากนั้นผ่านมา 9 ปี ยังไม่มีการเปิดเผยเพิ่มเติม กลับมาที่คำถามที่ว่า แบบนี้วาทกรรม “นักการเมืองเลว” ที่บอกว่านักการเมืองทุจริต หมายความว่ากลุ่มทหารไม่ทุจริตใช่หรือไม่ ? ข้อมูลทั้งหมดนี้คงเป็นคำตอบให้ผู้อ่านได้
แต่บทความนี้ผู้เขียนไม่ได้จะบอกว่าทหารทุจริตและนักการเมืองพลเรือนดี ในฝั่งของนักการเมืองพลเรือนเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการทุจริต ยกตัวอย่างอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่มีความเกี่ยวข้องกับคดีทุจริต 8 คดี (พิพากษาจำคุกแล้ว 4 คดี ยกฟ้อง 2 คดี กำลังไต่สวน 2 คดี)คดีดังๆ ที่เรามักได้ยิน เช่น คดีทุจริตโครงการหวยบนดิน คดีจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก และนักการเมืองพลเรือนอีกหลายคนก็มีการทุจริต
อย่างไรก็ตามข้อมูลทั้งหมดที่ยกมาทำให้เราเห็นทหารและนักการเมืองพลเรือนเป็นเพียงมุมที่มีความเกี่ยวข้องกับการทุจริต แต่ยังมีทหารและนักการเมืองพลเรือนอีกมากที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทุจริตที่ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึง ดังนั้นทั้งสองกลุ่มย่อมมีคนที่ทุจริตและไม่ทุจริตทั้งนั้น
กลับมาที่คำถามตั้งต้นว่า “นักการเมืองเลว” แล้วใครดี? จึงตอบว่าไม่มีคนกลุ่มไหนเลวทั้งหมด หรือดีทั้งหมด วาทกรรม “นักการเมืองเลว” จึงเป็นการกล่าวโทษอย่างเหมารวม หากพูดถึงคนทุจริตไม่จำเป็นว่าต้องเป็นนักการเมือง ทหาร แม้แต่ข้าราชการ ตำรวจ ครู ก็สามารถทุจริตเงินของประเทศได้ทั้งนั้น อีกทั้งยังเป็นวาทกรรมที่กล่าวหาผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐาน รศ.เวียงรัฐ เนติโพธิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวไว้ว่า “เราไม่ได้ปฏิเสธว่านักการเมืองทุกคนดี นักการเมืองโกงมันมีจริง แต่วาทกรรม นักการเมืองเลว เป็นการบั่นทอนความเข้าใจว่าประชาธิปไตยมันคือนักการเมืองเลว”
ถ้าหากอยากจะบอกว่านักการเมืองเลวหรือทุจริตก็ควรจะพิจารณาเป็นรายบุคคล รวมทั้งควรมีหลักฐานให้เห็น ยิ่งเราอยู่ในยุคที่มีเทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวก การเข้าถึงข้อมูลจึงไม่ใช่เรื่องยาก Corrupt 0 แพลตฟอร์มที่จัดทำขึ้นโดย องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และ HAND Social Enterprise เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลนักการเมืองได้สะดวก เพียงแค่ใส่ชื่อนักการเมืองที่อยากรู้ในเว็บไซต์ https://corrupt0.actai.co/ ก็จะพบข้อมูลสังกัดพรรค ข้อมูลบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน ประวัติการดำรงตำแหน่ง คดีความ รวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักการเมืองคนนั้น ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเอาข้อมูลนั้นไปประเมินความเสี่ยงได้ว่านักการเมืองคนนี้มีโอกาสเข้ามาทุจริตแค่ไหน ผู้เขียนเชื่อว่าหากมีข้อมูลและหลักฐาน วาทกรรม “นักการเมืองเลว” ก็คงไม่จำเป็นอีกต่อไปเพราะเราสามารถระบุได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนโกง
สุรวัฒน์ เดวา HAND Social Enterprise
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี