แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) เปิดเผยเกี่ยวกับการพัฒนารถไฟทางคู่ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ที่เป็นรถไฟสายเหนือ และสายอีสาน ว่า หลังจากที่กระทรวงคมนาคมมอบนโยบายให้ทำสถานียกระดับ (High Platform) มีความจำเป็นต้องรื้อสถานีเดิมทุกแห่ง โดยสถานีรถไฟทางคู่ใหม่จะยกระดับความสูงเป็น 110 เซนติเมตร จากเดิม 23 เซนติเมตร จึงจะต้องรื้อเพื่อปรับชานชาลาให้สูงขึ้นรวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในให้สอดรับกับสถานีใหม่เช่น สะพานข้ามฝั่งชานชาลา ระบบพื้นที่รอรถไฟ(Station Gate) เพื่อแยกผู้โดยสารกับคนทั่วไปออกจากกันเหมือนสนามบิน เป็นต้น

ทั้งนี้ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการ การรถไฟฯได้เห็นชอบให้ทำแผนพัฒนาทางสับหลีก (Siding Track) เพื่อรองรับรถขนส่งรถถังของทหาร รถไฟล้ำพิกัด และรถขนส่งสินค้าบางประเภทนั้น ก็ได้ส่งผลให้ต้องมีการดำเนินการของบลงทุนเพิ่มอีกราว 1,788 ล้านบาท คิดเฉลี่ยเป็น 6 ล้านบาทต่อสถานี รวม 298 สถานี ตามเส้นทางรถไฟทางคู่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้แก่ ช่วงนครปฐม-ประจวบคีรีขันธ์ 40 สถานี ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร 27 สถานี ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี 35 สถานีและช่วงสุราษฎร์ธานี-ปาดังเบซาร์ 84 สถานี ส่วนสายอีสานช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา 41 สถานี และช่วงนครราชสีมา-ขอนแก่น-หนองคาย 91 สถานี

นอกจากนี้ จะออกแบบสถานีรถไฟใหม่ให้สะท้อนวัฒนธรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่นผสมผสานลงไปในการออกแบบสถานี ซึ่งทางภาคอีสานจะเน้นสีอิฐที่เป็นสีเอกลักษณ์ของดินเผาบ้านเชียง ส่วนทางภาคเหนือจะเน้นโทนสีเขียวแบบท้องทุ่งและภูเขา ภาคใต้จะเน้นโทนสีฟ้าน้ำทะเล

“แต่ละสถานีจะออกแบบแตกต่างกันตามท้องถิ่น เช่น สถานีไชยา ออกแบบศิลปะตามองค์พระธาตุไชยา สถานีหาดใหญ่ออกแบบศิลปะมโนราห์” รายงานระบุ

ในส่วนของการจัดซื้อรถไฟรองรับทางคู่นั้นคาดจะส่งมอบรถไฟลอตแรกได้ในปี 2563 จากนั้นจะทยอยส่งมอบจนครบในปี 2565 ทำให้ในช่วงแรกที่เปิดเดินรถไฟทางคู่จะมีการใช้รถไฟแบบผสมผสานระหว่างรถไฟเก่าและรถไฟใหม่ โดยรถไฟเก่าทั้งหมดจะถูกติดตั้งพื้นรองทางลาดเพื่อใช้กับสถานีรถไฟใหม่ที่มีพื้นชานชาลาสูงขึ้น