นายจักรกริช จักรพันธุ์ ณ อยุธยา รองกรรมการผู้จัดการภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม บริษัทที่ปรึกษาและบริการอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล(JLL) กล่าวว่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมในประเทศไทยปรับตัวดีขึ้นกลับไปที่ระดับก่อนเกิดวิกฤตการณ์โควิด โดยคาดว่าปีนี้ มูลค่าการซื้อขายจะแตะระดับ 12,000 ล้านบาท หากรายการเจรจาซื้อขายที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้รวมมูลค่า 7,000 ล้านบาท
สามารถดำเนินการจนเสร็จทันสิ้นปีตามที่ผู้ซื้อผู้ขายกำหนดไว้ ซึ่งจะหมายความว่า มูลค่าการลงทุนซื้อขายของทั้งปีนี้ จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยสำหรับช่วง 10 ปีระหว่าง 2552-2562 ที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยปีละ 10,000 ล้านบาท
“ในส่วนของเจแอลแอล ปีนี้เราเพิ่งเป็นตัวแทนปิดการขายซิทาดีนส์ สุขุมวิท 23 บางกอก ขนาด 138 ห้อง และกำลังอยู่ในระหว่างการเป็นตัวแทนการลงทุนซื้อขายโรงแรมอีกกว่า 10 รายการ รวมมูลค่า 17,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มี 2 รายการที่คาดว่าจะดำเนินแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้”นายจักรกริชกล่าว
เจแอลแอลระบุว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมที่ปรับตัวสูงขึ้นมากในปีนี้ มีสาเหตุมาจากการที่มีโรงแรมคุณภาพเหมาะสำหรับการลงทุนเสนอขายเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาที่ผู้ซื้อและผู้ขายคาดหวัง ขยับเข้าใกล้กันมากกว่าเดิม
นางสาวพิมพ์พะงา ยมจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริการลงทุนซื้อขายภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการที่ปรึกษาด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่าสถานการณ์โควิดที่ยืดเยื้อ ทำให้มีเจ้าของโรงแรมจำนวนมากขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้ประกอบการโรงแรม ตัดสินใจเลือก 1-2 โรงแรมในพอร์ตของตนนำออกมาเสนอขายเพื่อให้ได้เม็ดเงินเข้ามาเสริมสภาพคล่อง ขณะที่ฝั่งนักลงทุนซื้อ เริ่มมองเห็นแนวโน้มเชิงบวกในภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรม และมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับราคาเสนอขายที่ไม่ได้ปรับลดลงเท่ากันทั้งตลาด”
จากการสังเกตการณ์ของเจแอลแอล พบว่า โรงแรมระดับห้าดาว แทบไม่มีการปรับลดราคาเสนอขายลงเลย เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ยากจะสร้างใหม่ขึ้นมาได้ ประกอบกับเจ้าของโรงแรมในกลุ่มนี้ยังคงมีสถานการณ์ทางการเงินที่ค่อนข้างเข้มแข็งเจแอลแอลยังพบด้วยว่า ราคาเสนอขายโรงแรมในกรุงเทพฯ ที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับการซื้อเพื่อลงทุน ค่อนข้างมีเสถียรภาพมากกว่าโรงแรมในหัวเมืองท่องเที่ยวตากอากาศ ขณะที่โรงแรมในหัวเมืองชั้นรองโดยเฉพาะโรงแรมระดับกลางๆ มีราคาเสนอขายปรับลดลงมากกว่า
ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ซื้อ หากพิจารณาจากจำนวนรายการซื้อขายที่เกิดขึ้นในปีนี้ พบว่า ราว 90% เป็นการซื้อโดยนักลงทุนไทยทั้งประเภทบุคคลระดับคหบดีและบริษัทที่มีสถานภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง และนักลงทุนจากต่างประเทศประเภทกองทุนนอกตลาด (private equity fund) ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้ มีทั้งที่ต้องการซื้อโรงแรมเข้ามาอยู่ในพอร์ตการลงทุนของตน และที่ต้องการขยายจำนวนโรงแรมในพอร์ตการลงทุนเพิ่มมากขึ้นอย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากมูลค่าโรงแรมที่มีการซื้อขายแล้วและที่กำลังจะปิดการซื้อขายในปีนี้ พบว่า 62% ของมูลค่าการซื้อขาย มีนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อ
นางสาวพิมพ์พะงา กล่าวว่า “ในแง่ของมูลค่าการลงทุน นักลงทุนต่างชาติมีบทบาทเพิ่มขึ้นมากในปีนี้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีก่อนหน้าที่มีนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อเฉลี่ยคิดเป็น 37% ของมูลค่าการซื้อทั้งหมดในแต่ละปี”
เจแอลแอลคาดว่า นักลงทุนต่างชาติจะยังคงให้ความสนใจการลงทุนในตลาดโรงแรมของไทยต่อไป โดยเฉพาะการที่ประเทศไทยได้ผ่อนคลายการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ เชื่อว่า จะช่วยเอื้อให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนได้มากขึ้นในปี 2565 ซึ่งจะทำให้มีการแข่งขันกันมากขึ้นในหมู่นักลงทุนที่ต้องการซื้อโรงแรมคุณภาพดีในประเทศไทย
“ขณะนี้มีการซื้อขายโรงแรมรายการใหญ่ๆที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาขณะที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในอนาคตของภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรมของไทย จึงมีความเป็นไปได้ที่มูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมในปี 2565 จะทำสถิติใหม่ หากนับช่วงเวลาตั้งแต่เกิด
วิกฤตการณ์โควิด” นางสาวพิมพ์พะงากล่าวสรุป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี