นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2564 บริษัท Fitch Ratings (Fitch) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook)อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) มีความเข้มแข็งเป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและเป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐพ.ศ. 2561 เพื่อรักษาวินัยทางการคลังแม้ว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นจากการกู้เงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินมาตรการทางการคลังเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 เป็นสำคัญ แต่ Fitch ยังเชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดีเนื่องจากมีกลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่เข้มแข็งส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศไทย ณ เดือนตุลาคม 2564 อายุเฉลี่ยค่อนข้างยาว คือ 9 ปี และมีสัดส่วนหนี้สาธารณะสกุลเงินบาทมากกว่า 98% ซึ่งอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกับ (BBB peers) ที่มีค่ากลางของหนี้สกุลท้องถิ่นอยู่ที่ 66%
Fitch คาดว่า ปี 2565 ประเทศไทยยังคงจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบรรเทาผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ซึ่งใกล้เคียงกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกันและคาดว่า สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) ต่อ GDP ของประเทศไทยปี 2565 จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 55.3% ต่อ GDP ซึ่งอยู่ในระดับค่ากลางเดียวกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกันและจะอยู่ในระดับคงที่ในปี 2566 เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวและการขาดดุลงบประมาณลดลง
สำหรับเศรษฐกิจของประเทศไทยปี 2565Fitch คาดว่า จะขยายตัว 4.5% เนื่องจากมีมาตรการสนับสนุนด้านการเงินการคลังประกอบกับการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว นอกจากนี้การเพิ่มเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จาก 60% เป็น 70% จะช่วยเพิ่มพื้นที่ทางการคลังเพื่อการลงทุนและการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
2) ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงมีความแข็งแกร่งโดยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงที่เพียงพอสำหรับใช้จ่ายถึง 9.3 เดือนทั้งนี้ Fitch คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยจะกลับมาเกินดุลที่ 0.8% ต่อ GDPและ 3.5% ต่อ GDP ในปี 2565 และปี 2566 ตามลำดับหลังจากขาดดุลที่ 2% ในปี 2564
ประเด็นที่ Fitch ให้ความสนใจและจะติดตามอย่างใกล้ชิด คือสัดส่วนหนี้ภาคครัวเรือนต่อ GDP และความไม่แน่นอนทางการเมืองซึ่งอาจมีผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาครัฐและการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะปานกลาง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี