นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย แสดงความเห็นต่อทิศทางราคาน้ำมันว่า การใช้เงิน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลยังเป็นแนวทางที่รัฐต้องพิจารณา แม้ว่าจะมีแผนค่อยๆ ทยอยลดภาระด้วยการปรับขึ้นแบบขั้นบันไดก็ตามเพราะหากปรับขึ้นทันทีจะกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงการจับจ่ายใช้สอยของชาวบ้านในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองขณะที่ราคาสินค้าต่างๆ ทยอยปรับราคาไปรออยู่แล้วดังนั้นประเด็นสำคัญอยู่ที่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่เป็นแพ็กเกจไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบ “คิดไปทำไป” ควรทำให้ครอบคลุมทั้งปี

“การแก้ปัญหาอย่าใช้แนวคิดของเทคโนแครตหรือตรรกะแบบข้าราชการ เพราะการบริหารประเทศเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจไม่ใช่ยึดแต่กรอบกฎ-ระเบียบ-วินัยการเงิน-การคลังต้องมีความยืดหยุ่นหรือไม่ใช่เน้นแต่เพียงความมั่นคงมาตรการของรัฐที่จะออกควรต้องเร่งอัดฉีดเงินเพื่อให้กำลังซื้อกลับมาและเกิดการจ้างงานซึ่งขณะนี้การว่างงานและว่างงานแฝงรวมกันหลักล้านคนเศษ ปัญหาที่แก้ไม่ตกคือสภาพคล่องทั้งระดับชาวบ้านและธุรกิจทั้งจำนวนผู้กู้และปริมาณสินเชื่อหลักล้านล้านบาทที่รอการปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้ข้อจำกัดประชาชนในช่วงเวลาไม่มีเงินหรือรายได้ต่ำแต่เงินเฟ้อกลับสูงทำให้หนี้ครัวเรือนที่สูงอยู่แล้วเพิ่มสูงขึ้นอีกเป็นตัวแปรทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าหากไม่นับศรีลังกาที่เป็นประเทศกำลังล้มละลายปีนี้ไทยอาจมีเศรษฐกิจต่ำสุดในเอเชีย” นายธนิตกล่าว

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า แนวทางอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงของรัฐบาลจะลดการอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 50% จากราคาอุดหนุนปัจจุบันเฉลี่ย 11 บาทต่อลิตร วันที่ 1 พ.ค.2565 นี้ แต่กระทรวงพลังงานจะปรับขึ้นแบบขั้นบันได 1-3 บาทต่อลิตร เพื่อลดผลกระทบเช่นเดียวกับก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG) ที่จะขึ้นอีกพ.ค.กิโลกรัมละ 1 บาท (15 บาทต่อถัง 15 กก.) เหล่านี้ล้วนกดดันต่อระดับราคาสินค้าและแรงซื้อของประชาชน