นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2566 กรมฯจะผลักดันยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาษีสรรพสามิต โดยมุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) สร้างมาตรฐานสากล เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่ความยั่งยืน สอดคล้องนโยบายกระทรวงการคลังและภาครัฐ ภายใต้การเดินหน้าแผนกลยุทธ์ “EASE Excise”

ทั้งนี้จะดำเนินงานภายใต้ 4 เสาหลัก (Pillar) ได้แก่ 1.ESG/BCG Focus การใช้มาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมศักยภาพให้กับสินค้า บริการในกลุ่ม ESG/BCG,2.Agile way of working การทำงานที่เน้นความคล่องตัว พัฒนาบุคลากรให้มีทักษะหลากหลายและจำเป็นต่อการปฏิบัติงานยุคใหม่,3.Standardization การปรับเปลี่ยนกระบวนงานในทุกมิติเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรดิจิทัล,4.End-to-End Customer-Centric Service บริการผู้เสียภาษีตั้งแต่ต้นจนจบในทุกช่องทางแบบไร้รอยต่อ

โดยกลยุทธ์ ESG/BCG Focus จะช่วยสนับสนุนการดูแลสิ่งแวดล้อมและดูแลสุขภาพประชาชนมากขึ้น เช่น การปฏิรูปโครงสร้างภาษีสินค้า 6 ประเภท ซึ่งจะทำผลการศึกษาให้แล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2566 คือ สนับสนุนการนำเอทานอลบริสุทธิ์มาใช้ในการผลิตพลาสติกชีวภาพ,เชื้อเพลิงชีวภาพอากาศยาน,การปรับโครงสร้างภาษีแบตเตอรี่ที่สามารถรีไซเคิลได้เหลือ 2%,เพิ่มพิกัดอัตราภาษีคาร์บอนเครดิต,เพิ่มพิกัดภาษีบุหรี่ไฟฟ้า,เพิ่มพิกัดภาษีเบียร์ สุรา แอลกอฮอล์ 0%

ในส่วนของภาษีเบียร์ จากพฤติกรรมที่ผ่านมาคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจมากขึ้น เลือกบริโภคเบียร์ 0% มากขึ้น กรมฯจึงเตรียมกำหนดพิกัดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 0% โดยมีอัตราระหว่างภาษีเครื่องดื่มและ ภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อพิกัดภาษีมีผลบังคับใช้ สุรา เบียร์ ที่มีปริมาณสูงกว่ากำหนด จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อลดอัตราการบริโภคของประชาชน

นายเอกนิติ กล่าวว่า แม้จะมีการต่ออายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ก็จะไม่กระทบกับการจัดเก็บรายได้ปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะจัดเก็บได้ 5 แสนล้านบาท แต่อาจจะกระทบกับปี 2566 คาดว่าจะจัดเก็บได้ 5.67 แสนล้านบาท โดยผลการศึกษาของกรมฯ การลดภาษีน้ำมันดีเซล 1 บาท รายได้จะหายไป 2,000 ล้านบาท ถ้าลดภาษี 5 บาท จะหายไป 1 หมื่นล้านบาท