นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP เปิดเผยว่าสำนักวิจัยของกลุ่มธุรกิจฯ KKP Research วิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังมีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น และเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยที่จะส่งผลกระทบในวงกว้างและอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อ แผนธุรกิจสำหรับปี 2566 จึงเป็นการเติบโตแบบระมัดระวัง โดยขยายฐานลูกค้าที่มีศักยภาพและต่อยอดการเชื่อมโยงธุรกิจของกลุ่มฯ ผ่านการขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้อง (cross-selling) นอกจากนั้น กลุ่มธุรกิจฯ ยังมุ่งเดินหน้าใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มการออมและการลงทุนดิจิทัลของกลุ่มอย่างเต็มศักยภาพ ทั้ง Dime (ไดม์) และ Edge (เอดจ์) ที่จะเปิดตัวในระยะต่อไป ปัจจุบัน แอปพลิเคชั่น Dime มีผู้ดาวน์โหลดแล้วกว่า 100,000 ราย และจะมีการจับมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อขยายฐานลูกค้าและพัฒนาฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายยิ่งขึ้น
สำหรับผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ในปี 2565 มีกำไรสุทธิ 7,602 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.3% จากปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ที่สินเชื่อรวมขยายตัวถึง 21.4% จากการขยายตัวในสินเชื่อทุกประเภท ด้านธุรกิจตลาดทุนยังคงความสามารถในการสร้างรายได้ที่ดี โดยธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ยังคงครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่งของตลาด สำหรับธุรกิจการจัดการกองทุนก็มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจการลงทุนยังคงเติบโตได้ดีจากฝ่ายค้าหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Equity and Derivative Trading) ที่ทำกำไรได้ดีในสภาวะผันผวน ด้านวานิชธนกิจ มีรายได้ในระดับที่ดีจากธุรกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ขณะที่ธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) ปัจจุบันมีปริมาณทรัพย์สินภายใต้คำแนะนำ (Asset Under Advice, AUA) อยู่ที่กว่า 7 แสนล้านบาท
นายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทรกล่าวว่าปี 2565 เป็นปีที่ธนาคารมีผลประกอบการดีเป็นประวัติการณ์ โดยสินเชื่อขยายตัว 21.4% ในปี 2565 ส่งผลให้มีการเติบโตของทั้งรายได้จากดอกเบี้ย และจากค่าธรรมเนียม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยง แนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 จึงยังคงเป็นการเติบโตแบบมีกลยุทธ์ (Smart Growth) หรือการเลือกขยายสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพและสินเชื่อที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อบ้าน การเดินหน้าเจาะตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ของธนาคารคือ “รถเรียกเงิน” และการใช้ประโยชน์จากช่องทางดิจิทัลของธนาคารมากขึ้น ไม่ว่าแอป KKP Mobile หรือแอปของบริษัทในกลุ่มอย่าง Edge เพื่อเชื่อมโยงบริการของธนาคารเข้ากับบริการด้านการลงทุนที่เป็นความชำนาญของกลุ่มธุรกิจฯ
นายปรีชา เตชรุ่งชัยกุล ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่ากลุ่มธุรกิจฯ มีกำไรสุทธิ 7,602 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.3% และมีกำไรเบ็ดเสร็จ 10,120 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.2% จากปี 2564 โดยเป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน 758 ล้านบาท และเป็นกำไรเบ็ดเสร็จของธุรกิจตลาดทุน 1,077 ล้านบาท ส่วนการตั้งสำรองสำหรับปี 2565ยังอยู่ในระดับสูงโดยมีอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ 154.4% นอกจากนี้ธนาคารมีรายได้เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิรวมถึงรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 19,081 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5% ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย 8,457 ล้านบาท ลดลง 1.0% จากปี 2564และธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 16.26% และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 จะเท่ากับ 12.88%
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) ปี 2566คาดการณ์อยู่ที่ 2.5-3.5% เนื่องจากการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศและแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้นสะท้อนจากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับเข้ามาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้น โดย สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)ประเมินว่าจากนโยบายจีนเปิดประเทศจะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นประมาณ 200,000-300,000 ล้านบาท ทำให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้นและส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศที่แท้จริง(จีดีพี) ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.30% รวมทั้งมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายช้อปดีมีคืน จากความต้องการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ต้องเฝ้าระวังและติดตามปัจจัยเสี่ยงจากราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง อุปสงค์สินค้าในตลาดโลกจากการที่ตลาดส่งออกสำคัญและคู่ค้าหลักมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว และค่าเงินบาทที่แข็งค่าส่งผลต่อการส่งออกของไทยได้
นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสศอ. กล่าวว่าอุตสาหกรรมไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวตามกระแสโลกและตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหารและเครื่องดื่มที่เกี่ยวกับสุขภาพ เครื่องปรับอากาศเทคโนโลยีสูง เม็ดพลาสติกชีวภาพ เภสัชภัณฑ์ สิ่งทอเทคนิค และยางล้อรถประหยัดพลังงาน โดยเฉพาะบรรยากาศการเลือกตั้งในประเทศที่กำลังจะมีขึ้นช่วงกลางปีนี้ ยังเป็นปัจจัยหนุนการอุปโภคบริโภคในประเทศ การพิมพ์ สื่อโฆษณา เครื่องดื่ม เป็นต้น
“สศอ.อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลและปัจจัยต่างๆ รอบด้าน เพื่อประกอบการพิจารณาทบทวนประมาณการเอ็มพีไอปี 2566 ช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ให้ชัดเจนอีกครั้ง”นางวรวรรณกล่าว
ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) ปี 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 98.32 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.62% อัตราการใช้กำลังการผลิตสะสมทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ 62.61% เป็นผลจากการขยายตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น ภาพรวมการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
(ไม่รวมทองคำ) ปี 2565 ขยายตัว 2.95% การนำเข้าสินค้าทุนปี 2565 ขยายตัว 2.48% และการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ปี 2565 ขยายตัว 6.43%
ดัชนีเอ็มพีไอเดือนธันวาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 93.89 ลดลง 8.19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ระดับ 102.26 อุตสาหกรรมหลักที่ขยายตัว ได้แก่ น้ำมันปาล์ม จากปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดจำนวนมากกว่าปีก่อน ยานยนต์ จากรถยนต์นั่งขนาดกลางและรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ตลาดส่งออกขยายตัว และน้ำมันปิโตรเลียมที่กลับมาผลิตได้อีกครั้ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี