นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT เปิดเผยว่า บริษัทจะดำเนินธุรกิจตามโรดแมป “FPT Next 2025” โดยตั้งเป้าปี 2568 จะมีรายได้รวมอยู่ที่ 21,195 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้เป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย 69% หรือประมาณ 14,625 ล้านบาท กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม 23% หรือประมาณ 4,874 ล้านบาท และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชยกรรม 8% หรือประมาณ 1,696 ล้านบาท พร้อมทั้งเป้าจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อเนื่อง หรือจะมีรายได้รวมจากทุกธุรกิจประมาณ 30,000 ล้านบาท ภายในปี 2570

ส่วนในปี 2566 นี้ คาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ 17,925 ล้านบาท มาจากกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย 13,085 ล้านบาท กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม 3,405 ล้านบาทและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม 1,435 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทไม่เพียงให้ความสำคัญกับการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าและผู้ใช้บริการ แต่ต้องการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับทุกคน โดยการเดินหน้าสานต่อเจตนารมณ์ของแบรนด์“เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้” ให้สำเร็จโดยจะขับเคลื่อนองค์กรผ่านการเป็น “Real Estate as a Service Brand” คือการขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยต่อยอดด้านนวัตกรรมการบริการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน

โดยการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ บริษัทได้ผนึกกำลังความสามารถด้านเทคโนโลยีและองค์ความรู้สมัยใหม่ของทีมงานมืออาชีพจากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ ทั้งนี้ ในด้านเทคโนโลยีการบริการต่างๆ อาทิ การส่งเสริมด้านความปลอดภัยอัจฉริยะ มีการใช้ระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition) ในการเข้า-ออกพื้นที่ ระบบอำนวยความสะดวกด้านการควบคุมยานยนต์เข้า-ออกพื้นที่ ตลอดจนติดตามการจราจรและระดับมลภาวะภายในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำด้านอาคารยั่งยืนที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานระดับสากล สำหรับธุรกิจที่อยู่อาศัยได้เสริมการให้บริการลูกค้าอย่างไร้รอยต่อมากขึ้น ด้วยแอปพลิเคชัน “Home+” อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าตลอดกระบวนการขายและบริการ รวมถึงมอบบริการเสริมต่างๆ ผ่านเครือข่ายพันธมิตรเพื่อดูแลลูกบ้านให้ดียิ่งขึ้น สอดรับไลฟ์สไตล์และความต้องการในการอยู่อาศัย พร้อมส่งมอบนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ภายในบ้าน ซึ่งช่วยยกระดับการใช้ชีวิต

ในขณะเดียวกันเพื่อรองรับรูปแบบการใช้งานของคนสมัยใหม่ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง บริษัทได้เดินหน้านวัตกรรมการบริการในธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Core & Flex”ที่มีทั้งพื้นที่สำนักงานแบบมาตรฐานและแบบยืดหยุ่น มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบ โดยมีค่าใช้จ่ายตามประเภทการบริการหรือระยะเวลาที่ต้องใช้งาน อีกทั้งยังเตรียมผลักดันการให้บริการ Co-Warehousing เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ต้องใช้บริการรายครั้ง (Pay-Per-Use) หรือต้องการจัดเก็บสินค้าภายในคลังสินค้าตามจำนวนพาเลท (Pay-Per-Pallet) รวมถึงตอบสนองความต้องการใช้พื้นที่ สิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีที่เป็นของส่วนกลาง โดยจ่ายค่าบริการตามจำนวนการใช้งาน

นายธนพล กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย บริษัทมีการพัฒนาบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม รวม 10 แบรนด์ ซึ่งปี 2566 นี้จะขยายพอร์ตโฟลิโอโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่และระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ราคา 60-120 ล้านบาท ใน 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ “เดอะ โรยัลเรสซิเดนซ์”, “อัลพีน่า”,“เดอะ แกรนด์” และมีแผนบุกตลาดคอนโดมิเนียมราคา 3-5 ล้านบาท

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมมีพื้นที่ภายใต้บริหารจัดการกว่า 3.4 ล้านตร.ม. ในไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และเตรียมส่งมอบพื้นที่ให้ลูกค้าอีกกว่า 150,000 ตร.ม. ส่งผลให้จะมีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการรวมกว่า 3.55 ล้านตร.ม.ขณะเดียวกันมีเมกะโปรเจกท์เป็นเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่บนพื้นที่ 4,600 ไร่ ที่สมุทรปราการ, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม มีโครงการ “สามย่านมิตรทาวน์” และ “สีลมเอจ”, ธุรกิจโรงแรม และอาคารสำนักงานเกรดเอในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เช่าและผู้ใช้บริการจำนวนมาก สามารถรักษาอัตราการเช่าเฉลี่ยสูงกว่า 90%

“จากความหลากหลายของธุรกิจ ทำให้ปัจจุบัน ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 มีมูลค่าสินทรัพย์สูงถึง 98,967 ล้านบาท และตั้งเป้าปี 2568 จะมีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100,000 ล้านบาทพร้อมตั้งเป้าเป็นแบรนด์ Top 5 ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในกลุ่มที่อยู่อาศัยอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม”นายธนพล กล่าว