นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ (Retail Sentiment Index-RSI) โดยระบุว่าในภาพรวม ดัชนี RSI (QoQ) ไตรมาสหนึ่ง 2566 เมื่อเทียบกับไตรมาสสี่ 2565 มีความ “น่ากังวล” เนื่องจากปรับลดลงถึง 13.5 จุด ในขณะที่ดัชนียอดขายสาขาเดิม SSSG (Same Store Sale Growth) QoQ, ยอดใช้จ่าย ต่อครั้ง (Spending Per Bill หรือ Per Basket Size) และ ความถี่ในการจับจ่าย (Frequency on Shopping) ต่างก็พากันปรับตัวลดลงเช่นกัน สะท้อนถึงผู้บริโภคฐานรากกำลังซื้อยังอ่อนแออยู่มาก รวมทั้งภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทั้งค่าสาธารณูปโภค ค่าโดยสาร ส่งผลให้ผู้บริโภคมุ่งเน้นซื้อสินค้าที่จำเป็น อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่ผู้บริโภคลดกิจกรรมนอกบ้านเพิ่มขึ้น ด้วยความกังวลฝุ่นควัน PM2.5 ที่เพิ่มขึ้นและโรคฮีทสโตรกหรือโรคลมแดดจากอากาศที่ร้อนจัด
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาดัชนีตามภูมิภาคพบว่าความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิมทรงตัวทุกภูมิภาค ยกเว้นภาคอีสานที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดบ่งบอกถึงธุรกิจยังคงฟื้นตัวไม่สมดุล เห็นได้ว่าพื้นที่ท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าพื้นที่อื่นทางด้านธุรกิจห้างสรรพสินค้า, แฟชั่น, สุขภาพและความงามมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ ส่วนร้านสะดวกซื้อ, ซูเปอร์มาร์เก็ต,ร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง มีการชะลอตัวและร้านค้าส่ง ไฮเปอร์มาร์เก็ตยังคงไม่ฟื้นตัว
ทางสมาคมฯ จึงมีความเห็นว่าหลังการเลือกตั้งควรรีบจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อเร่งกำหนดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบผ่านการสร้างงาน การจ้างงานและลดภาระค่าครองชีพซึ่งต้องมีมาตรการหลากหลาย มุ่งเป้าให้ตรงกลุ่มต่างๆ ไม่ซ้ำซ้อนเน้นการเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้บริโภคฐานรากที่ยังอ่อนแอเพื่อกระตุ้นการจับจ่าย ในขณะที่ผู้บริโภคระดับบน, ผู้มีรายได้ประจำที่มีกำลังซื้อต้องใช้มาตรการต่างชุดกันโดยเน้นย้ำว่ารัฐต้องคลอดมาตรการที่ต่อเนื่องและระยะยาวจนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจที่ชัดเจน
ทั้งนี้ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ “ประเมินการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีก”ของผู้ประกอบการที่สำรวจ 3 ช่วงระหว่างวันที่ 17 มกราคม-26 มีนาคม 2566 ดังนี้ 1.การประเมิน ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ต่อการปรับราคาสินค้า ผู้ประกอบการร้อยละ 79 ระบุว่าที่ผ่านมาธุรกิจต้องแบกรับต้นทุนการดำเนินการที่เพิ่มขึ้นแต่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปสู่ราคาสินค้าได้บางส่วนเท่านั้น ร้อยละ 21 ส่งผ่านต้นทุนทั้งหมดเข้าสู่ราคาสินค้าแล้วร้อยละ 40 ส่งผ่านต้นทุนเข้าสู่ราคาสินค้าไม่เกิน 10% ร้อยละ 31 ส่งผ่านต้นทุนเข้าสู่ราคาสินค้า 10-20% ร้อยละ 7 ส่งผ่านต้นทุนเข้าสู่ราคาสินค้า 21-30%
2.แนวโน้มในการปรับราคาสินค้าเพื่อให้สอดรับกับราคาสินค้าในอีก 3 เดือนข้างหน้า ร้อยละ 24 ไม่ปรับราคา
เพิ่ม ร้อยละ 43 ปรับเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5% ร้อยละ 26 ปรับเพิ่มขึ้น 6-10% ร้อยละ 7 ปรับเพิ่มขึ้น 11-20% 3.ปัจจัยที่มีผลต่อการปรับราคาสินค้า อันดับ 1 ต้นทุนสินค้าเพิ่มสูงขึ้น อันดับ 2 ส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ทั้งหมด อันดับ 3 ราคาสินค้า/
บริการอื่นที่ไม่ใช่ต้นทุนปรับสูงขึ้น อันดับ 4 คู่แข่งปรับขึ้นราคา อันดับ 5 รักษากำไร อันดับ 6 อุปสงค์ดีขึ้น
นอกจากนี้ผู้ประกอบการได้มีประเมิน โครงการ “ช้อปดีมีคืน” (ระหว่าง 1 ม.ค.-16 ก.พ. 2566) มีผลดังนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ประเมินว่า โครงการ “ช้อปดีมีคืน” จะช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้น ร้อยละ 43 ยอดขายเท่าเดิม-ไม่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 50 ยอดขายเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10% ร้อยละ 7 ยอดขายเพิ่มขึ้น 10%-20%
“สรุปภาพรวมการค้าปลีกไทย มีการฟื้นตัวที่ไม่เท่ากัน (K-Shaped Recovery) กำลังซื้อโดยรวมยังเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มฐานรากที่อ่อนแอ ปัญหาค่าแรงแพง และแรงงานขาดแคลน นับเป็นปัญหาหลักของภาคค้าปลีกและบริการ รัฐบาลใหม่จึงต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องการเพิ่มรายได้ของกลุ่มฐานราก และเพิ่มการใช้จ่ายของกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง โดยการกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายและท่องเที่ยวภายในประเทศ ด้วยการร่วมมือกับทุกภาคส่วนช่วยกันขับเคลื่อนโครงการต่างๆ เพื่อผลักดันภาพรวมของค้าปลีกไทยกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง” นายฉัตรชัย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี