นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT เปิดเผยว่า การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ไม่รวมทองคำในเดือนตุลาคม 2566 มีมูลค่า 748.21 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.73% จากช่วงเดียวกันของปี 2565 ซึ่งฟื้นตัวต่อเนื่อง 2 เดือนติดต่อกัน หากรวมทองคำ มีมูลค่า 1,576.92 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 30.69% จากช่วงเดียวกันของปี 2565 เพราะมีการส่งออกทองคำไปเก็งกำไรจากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ ส่งผลให้ในช่วง 10 เดือนของปี 2566 การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคำ มีมูลค่า 7,391.86 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 9.05% จากช่วงเดียวกันของปี 2565 และเมื่อรวมทองคำ มีมูลค่า 12,705.21 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 6.76% จากช่วงเดียวกันของปี 2565
สำหรับตลาดส่งออกสำคัญ พบว่า มีทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง โดยฮ่องกง เพิ่มขึ้น 185.11% อิตาลี เพิ่มขึ้น 37.56% สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพิ่มขึ้น 6.30% ส่วนสหรัฐฯ ลดลง 11.44% อินเดีย ลดลง 51.77% เยอรมนี ลดลง 15.41% สหราชอาณาจักร ลดลง 4.62% สวิตเซอร์แลนด์ ลดลง 8.16% สิงคโปร์ ลดลง 30.90% และเบลเยียม ลดลง 2.95%
ส่วนสินค้าส่งออกสำคัญ ก็มีทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง โดยเครื่องประดับทอง เพิ่มขึ้น 26.42% เครื่องประดับแพลทินัม เพิ่มขึ้น 1.15% พลอยก้อน เพิ่มขึ้น 7.23% พลอยเนื้อแข็งเจียระไน เพิ่มขึ้น 79.78% พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เพิ่มขึ้น 96.71% อัญมณีสงเคราะห์ เพิ่มขึ้น 55.18% ขณะที่เครื่องประดับเงินลดลง 9.89% เพชรก้อน ลดลง 28.25% เพชรเจียระไน ลดลง 26.85% เครื่องประดับเทียมลดลง 5.93% และทองคำ ลดลง 22.41%
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนจากการที่หลายประเทศสำคัญสามารถกลับมาจัดงานแสดงอัญมณีและเครื่องประดับ นอกจากนี้ มีคำสั่งซื้อเพื่อเตรียมรับการบริโภคจากเทศกาลใช้จ่ายปลายปี ทั้งช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ ประกอบกับค่าเงินบาทอ่อนค่า เป็นปัจจัยส่งเสริมให้สินค้าไทยแข่งขันได้ แต่ก็ต้องจับตาเศรษฐกิจของหลายประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว อย่างสหรัฐฯ และยุโรป ที่มีสัญญาณว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยสูงนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ ส่วนการบริโภคในยุโรปและจีนที่ยังขาดปัจจัยสนับสนุน จึงลดการใช้จ่ายและเก็บออมมากขึ้น รวมทั้งยังมีความกังวลปัญหาการสู้รบระหว่างอิสราเอลและฮามาส และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในแห่งอื่นๆ ที่ยังคงมีอยู่
ทั้งนี้ประเมินว่าสินค้าไทยยังเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะมีการนำเทรนด์ที่กำลังเป็นกระแส หรือที่สามารถหลอมรวมเข้ากับสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ก่อให้เกิดเป็นสินค้าในไลน์ใหม่ๆ ทำให้สามารถขยายฐานผู้บริโภคได้เพิ่มขึ้น เช่น สินค้า Art Toy ที่ผสมเข้ากับความศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ออกมาเป็นคอลเลคชั่นเฉพาะ ให้ทั้งสายมูเตลูและผู้ชื่นชอบ Art Toy ได้สะสม ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างเสริมความน่าสนใจให้สินค้าได้ ขณะที่การนำ Art Toy มาผสมผสานเป็นเครื่องประดับชาร์ม หรือจี้ประดับ มีตัวอย่างที่น่าสนใจอย่างแบรนด์ “Ravipa” ที่ประสบความสำเร็จ จนขึ้นชื่อเป็นเครื่องประดับสายมูสุดปังที่ติดตลาด แต่ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่าเทรนด์ใหม่ๆในปัจจุบันเกิดขึ้นตลอดเวลา จึงต้องเลือกจับคู่ให้เข้ากับสินค้าแต่ละแบบ ทั้ง Mass Market หรือ Unique Market และมีความฉับไวในการหาโอกาสเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี