น.ส.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโดยรวมปี 2567 ทยอยฟื้นตัวแล้ว แต่อัตราการเติบโตยังคงมีแนวโน้มต่ำกว่าระดับ 3% ต่อเนื่องนับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2567 คาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องที่ 1.1% ชะลอลงเล็กน้อยจาก1.2% ในปี 2566 ปัจจัยดังกล่าวเพิ่มโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 เป็นต้นไป เพื่อสนับสนุนให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกันข้อมูลในตลาดการเงินมีการคาดการณ์ว่าจะลดอัตราดอดเบี้ยลงถึง 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ภายในปี 2567 นี้ ส่วนศูนย์วิจัยมองเป็นรอบการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และพิจารณาข้อมูลเป็นรายครั้ง อย่างไรก็ตามปกติเครื่องมือภาคการเงินจะใช้เวลาการส่งผ่านค่อนข้างนาน โดยอย่างน้อยที่สุดจะใช้เวลา 6-18 เดือน ดังนั้นสิ่งที่เห็นสถานการณ์หนี้สูงหรือกลุ่มเปราะบางได้รับผลกระทบ ณ วันนี้อาจเป็นผลที่เกิดจากการใช้เครื่องมือทางการเงินช่วงก่อนหน้านี้
“เวลา กนง.ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และถ้าลดลงแรงจาก 2.50% เหลือ 1.25% จะเป็นภาวะที่เริ่มเห็นเศรษฐกิจชะลอตัวรุนแรง จึงต้องใช้ยาแรง แต่เศรษฐกิจไทยขณะนี้เห็นการหดตัว หรือชะลอตัวรุนแรงหรือไม่ ขณะนี้เศรษฐกิจเหมือนรถที่ขับแล้วค่อยๆถอนคันเร่ง ไม่ได้เหยียบเบรก ไม่ได้เข้าเกียร์ถอย และตอนนี้เศรษฐกิจผ่านมายังไม่ 2 เดือนดี และยังเห็นตัวเลขเศรษฐกิจไม่มาก ทิศทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อยังมีปัจจัยเสี่ยง แต่มองว่าดอกเบี้ยจะมีการปรับลดในปี 2567 นี้”น.ส.พิมพ์นารา กล่าว
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตตามวัฏจักรเศรษฐกิจ แม้การฟื้นตัวจะยังไม่กระจายตัวและยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% ในปี 2567 จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 3.4% เร่งขึ้นจาก 1.9% ในปี 2566 ด้วยแรงส่งส่วนใหญ่จากปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ 1.การฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว จากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐและความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวที่ปรับดีขึ้น โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นจาก 28.2 ล้านคน ในปี 2566 เป็น 35.6 ล้านคน ในปี 2567 แม้จะยังไม่กลับสู่ระดับก่อนเกิดการระบาดของโควิดที่ 40 ล้านคน
2.การบริโภคภาคเอกชนยังคงเติบโตต่อเนื่องที่ 3.1% แรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับยังมีผลเชิงบวกจากนโยบายของภาครัฐที่ช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย 3.การใช้จ่ายภาครัฐจะมีบทบาทมากขึ้นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2567 หลังจาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีวงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้น9.3% จากปีงบประมาณก่อน) ได้รับอนุมัติ ซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนภาครัฐกลับมาขยายตัว 1.5% และ 2.4% ตามลำดับ จากที่หดตัวในปี 2566 และ 4.การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะเติบโต 3.3% ตามการเติบโตของภาคบริการ และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสำคัญๆ
อย่างไรก็ตามภาคส่งออกยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่ำ เพราะเผชิญแรงกดดันจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า แม้มีปัจจัยเฉพาะหนุนการส่งออกในบางกลุ่ม เช่น วัฏจักรการฟื้นตัวของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อานิสงส์จากการรักษาความมั่นคงทางด้านอาหาร และความร่วมมือทางเศรษฐกิจภายในภูมิภาค เป็นต้น โดยคาดว่าการส่งออกของไทยจะขยายตัวเพียง 2.5% ในปี 2567 จากที่หดตัว 1.7% ในปี 2566
โดยเศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มปรับดีขึ้น แต่อัตราการเติบโตยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน สำหรับปัจจัยภายในประเทศที่อาจกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ได้แก่ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงท่ามกลางต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น ผลกระทบจากภัยแล้งที่อาจรุนแรงขึ้น รวมทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ประชากรสูงวัย การขาดแคลนแรงงาน และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงในหลายอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ปัจจัยภายนอกที่อาจสร้างความเสี่ยงในปี 2567 ได้แก่ ผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยในประเทศแกนหลักของโลกที่สูงสุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ อาจกดดันเศรษฐกิจโลกและภาคการเงินการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนท่ามกลางความเปราะบางในภาคอสังหาริมทรัพย์ การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจขยายวงกว้างในระยะต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี