นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส (BCG)เปิดเผยแนวโน้มธุรกิจในไตรมาสแรกของปีนี้คาดว่าจะเติบโตดีขึ้นจากยอดขายช่วง 2 เดือนแรกที่ตัวเลขออกมาดีกว่าเป้าหมายและประเมินภาพรวมยอดขายทั้งปี 2567 แม้มีความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ได้รับอานิสงส์จากต้นทุนการผลิตลดลงทั้งจากราคาพลังงานและวัตถุดิบโดยเฉพาะราคาโซดาแอช มองการฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้คาดว่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.5%

สำหรับแผนธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วปีนี้บริษัทฯ คัดเลือกผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรที่ดี เน้นขยายตลาดส่งออก และหาลูกค้าใหม่ พร้อมพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและพฤติกรรมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เปลี่ยนไปในอนาคต

ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่นมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะบริษัท ไพร์มแพ็คเกจจิ้ง (Prime) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มที่เข้าไปซื้อหุ้น 75% ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนและม้วนฟิล์มในประเทศไทย เพื่อขยายการลงทุนในธุรกิจ Flexible Packagingมีรายได้เป็นไปตามคาดประมาณ 100 ล้านบาทต่อไตรมาส

บริษัทฯ บริหารจัดการต้นทุนผ่านการเจรจาต่อรองราคาและขยายจำนวนคู่ค้าเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น การปรับสูตรการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วย ควบคู่ไปกับการเจรจาปรับราคาสินค้ากับลูกค้า รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในกระบวนการผลิต

การลงทุนปีนี้บริษัทฯ มีแผนการซ่อมแซมเตาหลอมแก้ว ที่โรงงานจ.ปราจีนบุรี เพื่อรองรับโอกาสจากเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว สำหรับธุรกิจใหม่จากการควบรวมกิจการยังคงพิจารณาต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสเติบโตของกลุ่มบริษัทฯ ล่าสุด เข้าไปลงทุนในบริษัท บางกอกแคน แมนนูแฟคเจอริ่ง ราว 5% เพื่อเข้าไปเรียนรู้หากมีโอกาสที่เหมาะสมก็จะพิจารณาซื้อหุ้นเพิ่มได้

“คาดว่า 3-4 ปีข้างหน้าสัดส่วนรายได้จะเปลี่ยนไปจากปัจจุบันที่ยอดขายบรรจุภัณฑ์แก้ว 85% บรรจุภัณฑ์อื่น 15% เปลี่ยนเป็นบรรจุภัณฑ์แก้ว 60% และ
บรรจุภัณฑ์อื่น 40% โดยปี 2567 คาดว่าตลาดบรรจุภัณฑ์แก้วจะเติบโตเล็กน้อยขณะที่บรรจุภัณฑ์ที่ขยายตัวได้ดีอย่างถุงเพาซ์ ซึ่งใช้สำหรับบรรจุในหลายกลุ่มสินค้า เช่น ขนม อาหาร น้ำยาปรับผ้านุ่ม แชมพู น้ำยาล้างจาน หรืออาหารสัตว์เลี้ยง”