"อคส."แจงเงื่อนไขประมูลข้าวสารสตอกรัฐ 10 ปี ให้กับผู้ค้าข้าว ระบุมีเอกชนสนใจไม่น้อย ย้ำข้าวสารบริโภคได้ทั้งตลาดในและส่งออก ชี้ทราบผลแน่ชัด 17 มิ.ย.นี้ ว่าใครชนะประมูล ขณะที่นายกสมาคมโรงสีภาคตะวันออกเฉียงเหนือและผู้ค้าข้าว เชื่อข้าวสารลอตนี้ เมื่อนำปรับปรุงคุณภาพข้าวก็บริโภคและทำตลาดได้ ถือเป็นตัวอย่างเก็บข้าว 10 ปี ยังดีอยู่ ต้องศึกษาไว้เพื่อข้าวไทยในอนาคต
29 พ.ค.67 นายกฤษณรักษ์ ใจดี รักษาการผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เผิดเผยว่า เช้าวันนี้ หลังจาก อคส.ได้ออกประกาศเชิญชวนการเข้าร่วมประมูลการจำหน่ายข้าสารในสตอกของรัฐเป็นการทั่วไป ครั้งที่ 1/2567 เพื่อจำหน่ายข้าวสารในสตอกรัฐบาลที่เก็บรักษา อยู่ในคลังสินค้าของ อคส. โดยระบายแบบเหมาคลังตามสภาพของข้าวที่เก็บรักษา โดยในวันที่ 29 พ.ค.องค์การคลังสินค้าจะประชุมชี้แจงรายละเอียดการจำหน่ายข้าวสาร ในสตลอกรัฐบาล
จากนั้นระหว่างวันที่ 31 พ.ค.-7 มิ.ย.2567 (ยกเว้นวันที่ 3 มิ.ย.2567) จะเปิดให้ผู้สนใจสามารถดูข้าวได้ที่คลังสินค้าแต่ละแห่ง และจะเปิดให้เอกชนที่สนใจยื่นซองเอกสารคุณสมบัติในวันที่ 10 มิ.ย.2567 และจะประกาศรายชื่อผู้เสนอซื้อที่ผ่านคุณสมบัติในวันที่ 13 มิ.ย.2567 ก่อนจะเปิดให้ยื่นซองเสนอราคาซื้อได้ในวันที่ 17 มิ.ย.2567 และจะเปิดซองเสนอราคาทันทีในช่วงบ่ายวันเดียวกัน โดยมีผู้สนใจเข้ามารับฟังคำชี้แจงกว่า 10 ราย และมีการสอบถามผ่านทางโทรศัพท์มากกว่า 10 ด้วยกัน ดังนั้น คงต้องติดตามหลังผ่านทุกขั้นตอนแล้วในวันที่ยืนซองจริงในวันที่ 17 มิ.ย.นี้ว่าจะมีเอกชนที่สนใจยื่นซองจริงมากน้อยแค่ไหน
ทั้งนี้ อคส.ยังมั่นใจว่าจะมีเอกชน ผู้ค้าข้าวหลายรายยื่นซองประมูลข่าวสารสตอกของรัฐบาลในครั้งนี้จำนวนไม่น้อย แต่ยังไม่ส่ามารถบอกได้ว่าจะมีจำนวนมากน้อยแค่ไหน เพราะหลังจากผลพิสูจน์ข้าวลอตนี้ออกมาจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่าไม่มีสารตกค้างใดๆ จะทำให้ข้าวสารนี้มีความต้องการเพิ่มขึ้น ส่วนทีมีข่าวว่าทางคณะกรรมิธิการวุฒิสภาบางท่านจะขอให้มีการตรวจสอบข้าวสารสตอกนี้ใหม่อีกครั้งนี้ โดยคณะกรรมิธิการชุดดังกล่าวคงต้องทำหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์ โดย อคส.ไม่มีอำนาจตรงนี้ แต่เมื่อผลพิสูจน์จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ออกมาชัดเจนแล้วก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งคณะกรรมาธิการวุฒิสภา มีหน้าที่นิติบัญญัติมากกว่ามาตรวจสอบและที่ผ่านมาก็ได้ตรวจสอบให้เห็นมาแล้ว
ด้านนายวิชัย ศรีนวกุล นายกสมาคมโรงสีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ตนมาในนามสมาคมโรงสีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามคำเชิญของ อคส. ที่ได้ออกประกาศเรื่องการจำหน่ายข้าวสารในสตอกของรัฐเป็นการทั่วไป ครั้งที่ 1/2567 จำนวน 15,000 ตัน ในโกดัง จังหวัดสุรินทร์ และจะลงไปดูที่โกดังสภาพข้าวสารอีกทีในวันที่ 31 พ.ค.นี้ ว่าสภาพสินค้าเป็นอย่างไร และเมื่อภาครัฐมีการพิสูจน์ออกมาแล้วไม่มีสารตกค้างใดๆก็มั่นใจว่าสามารถที่จะบริโภคได้ทัังคนในประเทศและส่งออกไปตลาดต่างประเทศเพื่อการบริโภคได้อย่างแน่นอน ซึ่งเอกชนผู้ค้าข้าวที่ลงไปดูก่อนหน้านี้ ก็มีการยืนยันว่าสภาพข้าวสารยังมีอยู่และมีคุณภาพ แม้ว่าจะดูข้าวจะเหลืองหรือมีแมลงและซากอยู่บ้าง แต่เมื่อขายออกไปแล้ว ผู้ชนะประมูลจะต้องนำไปปรับปรุงคุณภาพก่อนออกจำหน่ายหรือส่งออกเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม นอกจากที่ตนมาในฐานะสมาคมโรงสีภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว และในฐานะผู้ประกอบโรงสีข้าวก็ได้ส่งตัวแทนมารับฟังการชี้แจงครั้งนี้ด้วย และเมื่อลงไปดูพื้นที่โกดังกล่าวดังกล่าวแล้วจะกลับมาประเมินภาพรวมอีกครั้งว่าจะนำเสนอและให้ราคาข้าวสารจำนวน 15,000 ตัน ในราคาเท่าไหร่ดี หากดูราคาตลาดข้าวสารขณะนี้น่าจะอยู่ที่ 15 บาทต่อกิโลกรัม โดยราคาจะเสนอมามากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการแต่ละรายอีกที หากมีผู้สนใจมากราคาแต่ละรายที่นำเสนอจะแตกต่างกันไป หากใครให้ราคาสูงกว่านี้ก็ถือว่าชนะการประมูลไป
“ผู้บริโภคไม่ต้องกังวลถ้าเข้าใช้ได้แล้วคุณภาพต่างๆขายตามสภาพของข้าวที่มีมีอายุหลายปี ข้าวก่อนที่นำออกสู่ตลาดจะต้องมีการเข้ากระบวนการปรับปรุงคุณภาพ จะทำให้คุณภาพเข้าเข้ามาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานในการซื้อขายและการส่งออกต่างประเทศหรือในประเทศคงต้องแยกแยะว่าในประเทศหรือส่งออกเท่านั้นถ้าบริโภคได้คนไทยบริโภคได้ต่างประเทศก็บริโภคได้เหมือนกัน เพราะไม่มีว่าข้าวจะเอาไปให้เฉพาะคนต่างชาติผู้บริโภคเค้าจะเข้าใจผิดว่าคนไทยไม่บริโภค ถ้าข้าวคุณภาพดีประเทศไทยควรจะได้ศึกษาต่อไปว่าข้าวที่เราเก็บมา 10 ปีเรายังเก็บรักษาแล้วคุณภาพใช้ได้จะเป็นเคสที่น่าศึกษามากเพราะเราไม่เคยมีค่าเก็บไว้ถึง 10 ปีแล้วยังคงสภาพอยู่ได้ต้องมาเรียนรู้กันว่าวันนึงข้างหน้าเราอ่ะเจอสภาพคราวที่เราต้องเก็บสต๊อกไม่ว่าเกิดวิกฤตอะไรอาจจะต้องมีการเก็บสตอกอาจถึงขนาดนี้แต่เราได้เรียนรู้ว่าเข้า 10 ปีก็ยังคงสภาพที่บริโภคได้” นายวิชัย กล่าว
ทั้งนี้ ยังมีบางประเด็นใน TOR ห้ามนำข้าวในโกดังออกมาตรวจสอบสภาพข้าวก่อน แต่ให้ดูสภาพข้าวในโกดังเท่านั้น เพราะอดีตจะเอาข้าวไปตรวจเช็คสภาพว่าจะมีเมล็ดเสียเมล็ดดีถ้าเป็นข้าวหอมก็ต้องไปดูค่าอามิโรสว่าถูกต้องไหม แต่หากอามิโรสต่ำไปแล้วก็อาจจะไม่ได้จำหน่ายเป็นข้าวหอมอาจเปลี่ยนไปเป็นข้าวข้าวแทน ซึ่งราคาประเมินอยู่ที่ผู้ไปดูเพราะของที่ดูด้วยตาแต่ละคนไม่เหมือนกันบางรายอาจบอกข้าวคุณภาพดีให้ราคาสูงบางรายมองว่าคุณภาพอาจมาปรับปรุงแล้วสูญเสียมากอาจจะทอนราคาลงไปอยู่ที่ราคาเวลาเสนอภาครัฐก็จะเห็นว่าใครให้ราคาสูงก็ให้คนนั้นไป
อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่อยู่ในวงการค้าข้าวแม้การดูแลข้าวในโกดังและใช้สารเคมีเพื่อดูแลข้าวในโกดัง ยืนยันไม่มีสารเคมีซึมเข้าไปในตัวของเมล็ดอะไรมากมายเชื้อราอัลฟ่าทอกซินในความคิดของตนพวกนี้จะขึ้นกับอาหารที่เป็นโปรตีน เช่น ถั่วข้าวโพดแต่ในคาร์โบไฮเดรตแป้งเชื้อรามีโอกาสขึ้นน้อยมากเพราะความชื้นไม่มากไม่ได้โดนน้ำถ้าโดนน้ำก็จะจะมีอัลฟ่าทอกซินแต่คราวนี้อยู่ในสภาพโกดังจากภาพก็ไม่ได้เปียกน้ำ ปัจจุบันผู้ประกอบการที่บรรจุเข้าลงถุงก็จะมีเครื่องจักรในการคัดแยกข้าวเม็ดดีไม่เสียออกแม้แต่เม็ดข้าวมีจุดดำมีเชื้อราเครื่องก็ยังสามารถคัดแยกออกได้เลย เพราะมีความละเอียดมากในการคัดแยกอยู่แล้ว
"เราจะเห็นข่าวทั่วไปไม่มีจุดดำแล้วไม่มีสิ่งเจือปนอะไรในคราบสีที่แตกต่างกันขาวและเหลืองเข้มก็แยกออกแทบจะไม่มีผลกันแต่ข้าวที่เป็นข้าวเก่าอาจมีสีสันที่เปลี่ยนไปตามสภาพของอายุและเหลืองเสมอการอ่อนอ่อนซึ่งเราไม่ได้ผลเพราะเป็นข้าวเสียเพราะข้าเป็นเมล็ดก็บริโภคหุงกินได้ ตนมองว่ามาตรฐานข้าวที่เราจำหน่ายอยู่ทุกวันนี้มาตรฐานสูงขึ้นมากเพราะในระบบการปรับปรุงและเครื่องจักรที่มีในประเทศไทยเป็นถือว่าทันสมัยระดับโลกไม่น่าห่วงเรื่องคุณภาพข้าวที่จะออกมา ซึ่ง TOR ที่ออกมาตนยังไม่มีอะไรติดใจเป็นปกติทั่วไปแต่ตนยังดูข้อความข้อความทั้งหมด “นายวิชัย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี