รัฐชู3มาตรการกระตุ้นศก.
ตั้งเป้าดันจีดีพีปี’67โต3%
“นายกฯ”นั่งหัวโต๊ะถกครม.เศรษฐกิจนัดสองติดตามความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ย้ำรายละเอียด “ดิจิทัลวอลเล็ต” ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงเงื่อนไข รมว.คลังแถลงผลหารือ ครม.เศรษฐกิจเบื้องต้น ตั้งเป้าดัน GDP ปี’67 โต 3% ให้ได้ ผ่าน 3 มาตรการดัน“ท่องเที่ยว-เบิกจ่ายงบรัฐ-ดึงลงทุน ตปท.” ขณะเดียวกันเล็งหารือ ธปท.ขอลดแบล็กลิสต์ เครดิตบูโรกลุ่มลูกหนี้โควิด พร้อมสั่งออมสินหาเงินแสนล้าน ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำช่วยผู้ประกอบการ-ปชช.เข้าถึงสินเชื่อ
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 10 มิถุนายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจครั้งที่สองวันนี้ว่า เป็นการติดตามความคืบหน้า หลังสั่งการไปรอบที่แล้วว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง และคาดว่าวันนี้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่จะเสนอเข้ามาเพื่อพิจารณา ขอให้รอผลหลังประชุม ซึ่งจะหารือทุกเรื่องรวมถึงติดตามเรื่องการลงทุนบริษัทต่างชาติว่าติดปัญหาอะไรหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าโครงการ แจกเงิน 10,000 บาทผ่าน digital Wallet นายกฯกล่าวว่า อยู่ในขั้นตอนการทำงาน หากมีอะไรเปลี่ยนแปลง ไทม์ไลน์หรือเหตุอะไรใหญ่ๆ หน่วยงานที่รับผิดชอบก็คงต้องมาคุยกัน ยืนยันรายละเอียดทุกอย่างที่มีการชี้แจงไปยังเหมือนเดิม ขออย่าเพิ่งไปคิดอะไรไปก่อน ให้รอนายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง จะได้ไม่เกิดความสับสน
หลังประชุม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจว่า ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ตั้งเป้าผลักดัน GDP ปี 2567 ขึ้นไปแตะ 3% จากคาดการณ์ 2.4% โดยตั้งธงเร่งผลักดัน 3 แรงขับเคลื่อนสำคัญ ท่องเที่ยว-เบิกจ่ายงบภาครัฐ-ลงทุนเอกชน
นายพิชัยให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจไทยมีปัญหา จีดีพีค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับศักยภาพประเทศคู่ค้า หรือประเทศเพื่อนบ้าน มีการคาดการณ์ว่า จีดีพีทั้งปีจะอยู่ที่ 2.4% อยากให้จีดีพีปรับขึ้นไปที่ 3% โดยการขับเคลื่อนผ่าน 3 ด้านคือ 1.ภาคการท่องเที่ยวที่ตั้งเป้านักท่องเที่ยวปีนี้ ที่ 35.7 ล้านคน แต่หากสามารถเพิ่มตัวเลขนักท่องเที่ยวปีนี้อีก 1 ล้านคน เป็น 36.7 ล้านคน ซึ่งรมว.ท่องเที่ยวและกีฬาก็เชื่อมั่นว่า น่าจะสามารถผลักดันได้ และต้องทำให้การพำนักในไทยของนักท่องเที่ยวให้นานขึ้นด้วย หากทำได้จะช่วยผลักดันจีดีพีได้ 0.12%
2.การเร่งเบิกจ่ายงบภาครัฐ ซึ่งงบลงทุนปี 67 มียอดทั้งหมด 8.5 แสนล้านบาท มีการเบิกจ่ายเม็ดเงินจริง และรอการเซ็นสัญญารวมแล้ว 51 % แต่จะพยายามขับเคลื่อนการเบิกจ่ายงบลงทุนให้ได้ 70 % แต่ส่วนตัวมีเป้าในใจอยากให้ทะลุ 75% โดยวันที่ 12 มิถุนายน จะหารือกับหน่วยงานที่ยังไม่เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อให้ผลักดันงบลงทุนให้ได้ถึง 70% ภายในปีนี้ จะเป็นการช่วยให้เพิ่มจีดีพี 0.24% ดังนั้นรวมแล้ว จะได้จีดีพีที่ 3%
นายพิชัยกล่าวต่อว่า 3.มาตรการส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน แม้รัฐบาลจะประเมินการช่วยเหลือได้ยาก แต่ตัวเลขที่เป็นไปได้จากข้อมูลบีโอไอ วันนี้ภาคเอกชนเริ่มเซ็นสัญญาลงทุนแล้ว และพร้อมจะเริ่มงานใน 3 ปี จะมีเม็ดเงินลงทุนกว่า 8 แสนล้านบาท ส่วนตัวเห็นว่า เม็ดเงินลงทุนดังกล่าว จะดึงมาลงทุนในปีนี้ประมาณ 3-4 แสนล้านบาท ก็จะเป็นการช่วยเพิ่มจีดีพี แม้ตัวเลขยังไม่นิ่งก็จะทำงานร่วมกับบีโอไอ เพื่อสรุปตัวเลขให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และกลับมาลงทุนในประเทศไทยได้เร็วที่สุด
“ทั้ง 3 มาตรการนี้ เป็นมาตรการเบื้องต้นเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาตัวขับเคลื่อนว่า ตัวไหนเป็นสาระสำคัญ และมาเร่งดำเนินการ ซึ่งจะมีการศึกษาว่า จะขับเคลื่อนงานด้านใด”นายพิชัยกล่าว
นายพิชัยกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมครม.เศรษฐกิจ ได้พิจารณาหนี้ NPL สูง และผู้ประกอบการที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อ ซึ่งเร็วๆนี้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยว่าจะมีมาตรการยืดหยุ่นในการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการให้กลุ่ม 21 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดจำนวน 4 ล้านราย ออกจากเครดิตบูโร ส่วนการประชุม ครม.วันที่ 11 มิถุนายน จะเสนอมาตรการค้ำประกันสินเชื่อของ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) วงเงิน 50,000 ล้านบาท เพื่อช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น
นายพิชัยด้วยว่า ระยะต่อไปจะมอบให้ธนาคารออมสินออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) วงเงิน 100,000 ล้านบาทปล่อยให้สถาบันการเงินในอัตรา 0.1% เพื่อนำวงเงินดังกล่าวไปปล่อยสินเชื่อต่อสำหรับลูกค้ารายใหม่ ดอกเบี้ย 1-3 ปีแรกไม่เกิน 3.5% ยอมรับว่า อาจกระทบกับกำไรของธนาคารออมสินบ้าง แต่ถือเป็นการช่วยผู้ประกอบการ ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อได้
ส่วนความคืบหน้าการตั้งกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ยืนยันว่า เกิดขึ้นแน่นอน แต่ต้องดูวัตถุประสงค์ด้วย โดยให้ประชาชนได้ลงทุนหุ้นที่ดี และออมเงินได้ ซึ่งโครงการนี้ต้องเป็นโครงการที่ดี เป็นหุ้นที่เรากำหนดและดูดีกับผู้ลงทุน ส่วนรายละเอียดโครงการขอให้ตลาดหลักทรัพย์ทำงานร่วมกับกรมสรรพากร และหารือกับสภาตลาดทุนไทย เพื่อพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ วงเงินเท่าไหร่ รูปแบบที่จะทำ ระยะเวลาที่จะดำเนินการ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี