นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า โดยภาพรวมธุรกิจเอสเอ็มอีไทยในขณะนี้ถือว่าเจอมรสุมต้นทุนแพงอย่างต่อเนื่องทั้งพลังงาน วัตถุดิบ ดอกเบี้ยและค่าแรงงานขั้นต่ำที่จะมีการปรับเพิ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ ทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีไทยแม้จะอยู่รอดแต่ต้นทุนที่แพงเช่นนี้ถือว่าลำบากพอสมควรโดยเฉพาะในเรื่องของดอกเบี้ยที่ยังไม่มีการปรับลดลง ดังนั้นจึงอยากให้ภาครัฐที่ดูแลภาคการเงินควรหาแนวทางช่วยผ่อนปรนหรือยืดหนี้เดิมของภาคธุรกิจออกไประยะหนึ่งก่อน แล้วให้สถาบันการเงินของรัฐหรือกองทุนต่างๆ เข้ามาสนับสนุนช่วยกันปล่อยสินเชื่อใหม่โดยมีสถาบันการเงินของรัฐผ่าน บสย.มาค้ำประกันเพื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอีมีสินเชื่อใหม่ในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งจากสัดส่วนเอสเอ็มอีที่อยู่ในสถาบันการเงินของภาครัฐมีมากกว่า 50% โดย 11% เป็นกลุ่มที่อยู่ในกึ่งในระบบและกว่า 36% เป็นกลุ่มที่กู้เงินนอกระบบและเจอปัญหาในเรื่องของการคิดดอกเบี้ยแพงจนจะทำธุรกิจไม่ได้แล้ว ดังนั้น กลุ่มเอสเอ็มอีกว่า 92% เป็นกลุ่มที่ต้องการเข้าแหล่งเงินทุนของภาครัฐและอยากได้สินเชื่อใหม่เพื่อกลับมาดำเนินธุรกิจใหม่ต่อไปได้
นอกจากนี้ เห็นว่าจากสภาพการแข่งขันธุรกิจบนพื้นฐานต้นทุนแพงของธุรกิจเอสเอ็มอี โดยจะเน้นประกอบการแบบเดิมๆคงแข่งขันได้ลำบาก จึงเห็นว่าหน่วยงานภาครัฐไม่ว่าจะเป็นกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงภาคเอกชนจะต้องร่วมมือกันผลักดันให้ธุรกิจเอสเอ็มอีไทยมีทียืนทั้งตลาดออนไลน์และตลาดต่างประเทศเพื่อนำกลุ่มธุรกิจไปเปิดตลาดในต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเสริมทักษะต่อยอดสินค้าให้เป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดอาเซียนที่มองว่าสินค้าไทยเป็นที่ต้องการแต่ยังไม่เคยออกไปทำตลาดด้วยตนเอง ดังนั้น หากหน่วยงานภาครัฐจะนำกลุ่มเอสเอ็มอีไทยมีมีศักยภาพสูงไปร่วมโรดโชว์ได้จะเป็นสิ่งที่ดีมาก
อนึ่งก่อนหน้านี้ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2567 มีมติเห็นชอบอนุมัติโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ 11 (บสย.SMEs ยั่งยืน) วงเงิน 50,000 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมการค้ำฯ เฉลี่ยไม่เกิน 1.75% ต่อปี ตลอดทั้งโครงการ ฟรีค่าธรรมเนียมเริ่มต้น 2 ปีแรก (รัฐบาลสนับสนุน) โดย นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า มติครม.ดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น มั่นใจช่วย SMEs ได้สินเชื่อกว่า 77,000 ราย กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลไกค้ำประกันสินเชื่อ ลดความเสี่ยงทางการเงิน และเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ตามนโยบายรัฐบาล เติมทุน SMEs เพื่อความยั่งยืน
ภายใต้โครงการนี้ มุ่งกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มเปราะบาง 2.กลุ่มธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (BCG) 3.กลุ่มผู้ประกอบการใหม่/นิวเจน (NEW GEN) และ 4.กลุ่มอิกไนต์ ไทยแลนด์ (IGNITE THAILAND) ครอบคลุมนิติบุคคล และบุคคลธรรมดา และ กลุ่มรายย่อย (Micro SMEs) ที่ขาดหลักประกันหรือหลักประกันไม่เพียงพอ ซึ่งโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และลดต้นทุนทางการเงิน คาดกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมและก่อให้เกิดสินเชื่อได้มากกว่า 60,000 ล้านบาท ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกว่า 200,000 ล้านบาท และทำให้เกิดการจ้างงานกว่า 300,000 ตำแหน่ง โดยหลังจากนี้ บสย. จะเร่งดำเนินการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง บสย. และสถาบันการเงินพันธมิตร เพื่อเปิดรับคำขอค้ำประกันสินเชื่อต่อไป โดยเร็วๆ นี้ บสย. ได้เตรียมแคมเปญเพื่อผู้ประกอบการ SMEs ในงานมหกรรมรวมพลัง SME ไทย จัดโดยกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 19-23 มิ.ย. 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ยกเว้นค่าดำเนินการค้ำประกัน โครงการค้ำประกันสินเชื่อ รายสถาบันการเงิน ระยะที่ 7 สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมงาน 200 ท่านแรก ที่ส่งคำขอค้ำประกันภายในวันที่ 30 กันยายน 2567
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี