nn ได้ยินมาบ่อยครั้งมากแล้วใช่ไหมว่าเศรษฐกิจไทยนั้นเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ...แล้วถ้าถามว่าศักยภาพของเศรษฐกิจไทยอยู่ตรงไหน...ตอบได้ไม่ยากว่าศักยภาพของเศรษฐกิจไทย คือ ความหลากหลายของทรัพยากรที่สามารถรองรับได้ทุกเซ็กเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต ภาคบริการ(ท่องเที่ยว) ความมั่นคงฐานะทางการคลัง และเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน
ถ้าถามว่าแล้วทำไมผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) จึงขยายตัวได้ไม่เกิน 3% นานต่อเนื่องนับสิบปี...คำตอบก็คือ...เรายังมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ทำให้การกระจายรายได้ยังไม่ดี เห็นชัดที่สุดคือ ภาคท่องเที่ยวที่แม้ว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง ที่ทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนของการบริโภคภาคเอกชน แต่ยังมาจากกลุ่มผู้มีรายได้สูง และกระจุกตัวอยู่ในเพียงบางพื้นที่ คืออยู่ในแค่ 5 จังหวัดหลัก เท่านั้น
ส่วนภาคการผลิตโดยเฉพาะกลุ่มที่ผลิตเพื่อการส่งออก...ตอนนี้มีหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถแข่งขันได้ ยกตัวอย่าง อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มที่แข่งขันใน
ต้นทุนไม่ได้ นอกจากนั้นยังมีสินค้าจากจีนเข้ามาเป็นคู่แข่งทั้งในตลาดส่งออกและตลาดในไทยอีกด้วย
หันไปดูภาคการส่งออก ซึ่งคงต้องเน้นไปที่อุตสาหกรรมการเกษตรและสินค้าภาคการเกษตร ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของประเทศและมีสัดส่วนในเชิงจำนวนใหญ่ที่สุด
ของประเทศ...ก็สามารถจะแข่งขันกับคู่แข่งสำคัญได้แล้ว...ด้วยต้นทุนที่สูงกว่า ผลผลิตต่อไร่ที่ต่ำกว่า สิ่งที่ทำให้ภาคเกษตรของไทยไปต่อได้ ก็คือต้องเลิกส่งออกสินค้าแบบปฐมภูมิและหันมาส่งออกสินค้าที่มีการเพิ่มมูลค่ามากกว่านี้...คือเปลี่ยนจากสินค้าโภคภัณฑ์เป็นสินค้าผลิตภัณฑ์
แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดของประเทศไทยอยู่ตรงนี้ครับ...ตรงที่ประชากร 1% ถือครองสินทรัพย์มากกว่า 75% ของประเทศนี้ และมีโอกาสเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของประเทศไทยได้มากกว่าประชากรอีก 99%...ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือเรื่องของที่ดินทำกิน...ประชาชนตาดำๆ เข้าไปเก็บของป่าเพื่อยังชีพถูกตำรวจจับ...แต่เชื่อกันไหมว่าที่ดิน ส.ป.ก.ตอนนี้ไปตกอยู่ในมือของ“นายทุน”กี่ล้านไร่...ทุกวันนี้ก็ยังเห็นข่าวอยู่ว่ามีการออกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.ให้กับกลุ่มนายทุนอย่างต่อเนื่อง...ทั้งที่เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย...แต่เนื่องจากมีกลุ่มนายทุนพวกนั้นมีอิทธิพลของ“นักการเมือง”คุ้มครอง...จึงกล้าที่จะสั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐละเมิดกฎหมายเสียเอง ทั้งที่จริงแล้วควรจะเป็นผู้ที่ดำรงไว้ซึ่งกฎหมาย
เอาล่ะเพื่อยืนยันคำว่า“ความเหลื่อมล้ำ”ในประเทศนี้.... ธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้สูงสุด 10 อันดับแรกได้แก่ 1.ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโรงกลั่นปิโตรเลียม ทำรายได้ 3.84 ล้านล้านบาท 2.ธุรกิจขายส่งนาฬิกาและเครื่องประดับ ทำรายได้ 3.12 ล้านล้านบาท 3.ธุรกิจร้านขายปลีกเครื่องประดับ ทำรายได้ 2.39 ล้านล้านบาท 4.ธุรกิจผลิตรถยนต์ส่วนบุคคลทำรายได้ 1.56 ล้านล้านบาท 5.ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ สำหรับยานยนต์ทำรายได้ 1.55 ล้านล้านบาท 6.ธุรกิจขายยานยนต์ใหม่ชนิดรถนั่งส่วนบุคคลฯ ทำรายได้ 1.45 ล้านล้านบาท 7. ธนาคารพาณิชย์ ทำรายได้ 1.11 ล้านล้านบาท 8.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทำรายได้ 1.07 ล้านล้านบาท 9.ธุรกิจขายปลีกเชื้อเพลิงยานยนต์ในร้านเฉพาะสถานีบริการน้ำมัน ทำรายได้ 1.02 ล้านล้านบาท และ 10.ธุรกิจขายส่งเชื้อเพลิงเหลว ทำรายได้ 0.96 ล้านล้านบาท….!! นึกภาพออกไหมว่าใครกันบ้างที่เป็นเจ้าของธุรกิจเหล่านี้???
ถ้าประเทศไทยยัง...“รวยกระจุก จนกระจาย”...อยู่แบบนี้...อย่าหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ตามศักยภาพที่มี
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี