นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าในปี 2567 มีนิติบุคคลที่ต้องนำส่งงบการเงินอยู่ทั้งหมด 835,011 ราย เป็นนิติบุคคลที่มีรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 671,823 ราย หรือ 80% ของนิติบุคคลทั้งหมดที่ต้องนำส่งงบการเงิน และอีก 20% หรือ 163,188 ราย เป็นนิติบุคคลที่มีรอบปีบัญชีแตกต่างกันออกไป
ทั้งนี้ตามข้อมูล ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2567 มีนิติบุคคลที่ได้นำส่งงบการเงินให้กรมฯแล้วทั้งสิ้น 660,586 ราย คิดเป็น 79% ของนิติบุคคลทั้งหมดที่ต้องนำส่งในปี 2567 เนื่องจากงบการเงินเป็นการสรุปผลการดำเนินงานตลอดทั้งปีของภาคธุรกิจ และมีผู้ที่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียต่อการดำเนินงานของกิจการ ทั้งกรรมการ ผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า นักลงทุน ที่ต้องการทราบความคืบหน้า ความเป็นไปของการดำเนินงานจากธุรกิจ ซึ่งบุคคลเหล่านี้มีผลต่อการบริหารกิจการเป็นอย่างมาก หากไม่นำส่งหรือเพิกเฉยต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปีกรมฯมีสิทธิ์ยื่นถอนทะเบียนร้างและขีดชื่อธุรกิจออกจากฐานข้อมูล นิติบุคคล ซึ่งจะไม่สามารถดำเนินกิจการภายใต้ชื่อนั้นๆ ได้อีก
โดยนิติบุคคลที่มีรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ต้องนำส่งงบการเงินต่อกรมฯภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 มีอยู่ทั้งหมด 671,823 ราย แต่นำส่งเข้ามาเพียง 581,856 ราย ยังขาดอยู่อีก 89,967 ราย หรือประมาณ 13.39% ซึ่งมีความผิดตามกฎหมายแล้ว โดยกรมฯจะส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาทุกราย และอัตราค่าปรับจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่ล่าช้าออกไป
ในส่วนของนิติบุคคลอีก 20% ที่เหลือ ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่มีรอบปีบัญชีแตกต่างกันออกไปแต่ก็ต้องนำส่งงบการเงินตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดเช่นเดียวกัน คือ ห้างหุ้นส่วนต้องนำส่งงบการเงินภายใน 5 เดือนนับแต่วันปิดรอบบัญชี บริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนจำกัด ต้องนำงบการเงินเสนอต่อผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติในที่ประชุมใหญ่สามัญภายใน 4 เดือนนับแต่วันปิดรอบปีบัญชี โดยบริษัทจำกัดต้องนำส่งบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ภายใน 14 วัน นับแต่วันที่จัดประชุมใหญ่ ส่วนบริษัทมหาชนจำกัดจะต้องนำส่งบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บมจ.006) ภายใน 1 เดือนนับแต่วันเสร็จการประชุม หลังจากนั้นทั้งบริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนจำกัด จะต้องนำส่งงบการเงินต่อกรมฯภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่งบการเงินได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น สมาคมการค้าและหอการค้า มีหน้าที่นำงบดุลเสนอเพื่ออนุมัติต่อที่ประชุมใหญ่ภายใน 120 วัน และต้องนำส่งงบดุลนั้นต่อกรมฯภายใน 30 วัน
นางอรมน กล่าวว่า กรมฯขอความร่วมมือให้นิติบุคคลนำส่งงบการเงินผ่านระบบ DBDe-Filing ซึ่งจะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากงบการเงินที่กรมฯเผยแพร่ได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันภาครัฐสามารถนำข้อมูลที่เป็นปัจจุบันไปประเมินทิศทางและวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจ เพื่อส่งเสริม สนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศได้ทันที ซึ่งจะเห็นได้ว่าในอดีตงบการเงินที่ยื่นในรูปแบบเอกสารนั้น กว่าจะนำไปวิเคราะห์หรือประมวลผลจะใช้เวลานาน ทำให้เสียโอกาสในทางธุรกิจและที่สำคัญช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและงบประมาณในการบริหารจัดการเอกสาร ทั้งสถานที่จัดเก็บ และการดูแลรักษา รวมทั้งยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการ ลดปริมาณการใช้กระดาษ และช่วยรักษาทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย กรมฯหวังว่าระบบ DBD e-Filing จะเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนและสนับสนุนภาคธุรกิจไทยให้ก้าวสู่การค้าในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเป็นรูปธรรม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี