นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปี 2567 ถือว่าเป็นปีที่ดีของการลงทุน ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องจากปี 2566 เห็นได้จากที่ผลตอบแทนสินทรัพย์เสี่ยงอย่างดัชนีหุ้นทั่วโลก (MSCI All Country World Index) ปรับเพิ่มขึ้น +11.5% เป็นผลมาจากที่เศรษฐกิจทั่วโลกที่ฟื้นตัวได้ดี จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ฟื้นตัวและเติบโตขึ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มเทคโนโลยี สินค้าอุปโภค-บริโภคและสินค้าฟุ่มเฟือย อย่างไรก็ดียังมีปัจจัยที่ท้าทายตลาดลงทุนที่นักลงทุนต้องจับตาในอีกหลายประการ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มลดดอกเบี้ยเมื่อไหร่ ใครจะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่งจะกระทบต่อนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองโลกอย่างมีนัยสำคัญ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของสงครามที่ใช้อาวุธและกำลังคน หรือสงครามการค้าและเทคโนโลยี โดยธนาคารฯได้ร่วมมือกับลอมบาร์ด โอเดียร์ จัดงานสัมมนาเพื่อสรุปเหตุการณ์สำคัญและให้มุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อภาคการลงทุน รวมทั้งตลาดการลงทุนทั่วโลกเป็นประจำทุกปี
มร.โฮมิน ลี Senior Asia Macro Strategist,Lombard Odier (Singapore) กล่าวว่า ลอมบาร์ด โอเดียร์ มีมุมมองเชิงบวกต่อสภาพเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จึงประเมินว่าภาพรวมตลาดลงทุน โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นต่อได้ เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง นำโดยภาคอุตสาหกรรม แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งช้ากว่าที่ตลาดคาดไว้ อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ต้องจับตาสำหรับสหรัฐฯ ในครึ่งหลังของปีก็คือการเลือกตั้งซึ่งผลสำรวจพบว่ามีโอกาสที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ซึ่ง Trump 2.0 อาจจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งด้านตลาดแรงงาน เศรษฐกิจ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้านยุโรป หลังจากที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลดดอกเบี้ยไปแล้ว และคาดว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและเล็กและจะช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจในยุโรปกลับมาฟื้นตัวได้ดีในขณะที่จีนยังคงเผชิญความท้าทาย นอกจากประเด็นภาคอสังหาฯ แล้ว ยังมีความเสี่ยงจากนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ที่มีการเลือกตั้งในสหรัฐฯ อาจมีการยกระดับสงครามการค้า
นางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director,Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ยังคงแนะนำให้แบ่งเงินลงทุนเพื่อสะสมและต่อยอดความมั่งคั่งในระยะยาว ออกเป็น 2 ส่วน (1) พอร์ตหลัก (Core portfolio) คิดเป็นสัดส่วน 50-70% ให้ลงทุนโดยเลือกกองทุนผสมแบบ Risk-based approach ที่กระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งค่าความผันผวน (VIX Index) ที่ใช้หลักการจัดการลงทุนอย่างเป็นระบบ มีกฎเกณฑ์ชัดเจน (2) พอร์ตเสริม (Satelliteportfolio) คิดเป็นสัดส่วน 30-50% โดยแบ่งการลงทุนใน หุ้นกลุ่ม Growth เช่น กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ที่มีศักยภาพในการเติบโตที่โดดเด่น และ ตราสารหนี้ อย่าง พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (US Bond Yield) ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง การลงทุนทางเลือก เช่น กองทุนทางเลือกที่มีกลยุทธ์ซื้อขายสกุลเงินหลักของโลก ที่เน้นลงทุนในสกุลเงินหลัก ที่คาดว่าจะแข็งค่าขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี