ll ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวได้ดีกว่าครึ่งปีแรกหรือไม่นั้น จะต้องอีกหนึ่งแรงส่งสำคัญคือการใช้จ่ายจากภาครัฐ ด้วยเงินงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้ได้มากที่สุดแม้ว่าจะเหลือเวลาอีกไม่มาก (3 เดือนของปีงบประมาณ 2567) ดังนั้นกระทรวงการคลังจึงอยู่ในโฟกัสของสังคมมากที่สุดตอนนี้ เมื่อเทียบกับกระทรวงเศรษฐกิจกระทรวงอื่นๆ
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ปัจจัยที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้คือ จะต้องเร่งรัดงบประมาณปี 2567 ออกสู่ระบบโดยเร็วที่สุด จึงได้เร่งรัดให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลการจัดเก็บภาษีรายได้จากเป้าหมาย 2.78ล้านล้านบาท แม้ว่ากรมจัดเก็บภาษียังมีรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 2.6 หมื่นล้านบาทมองว่าในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ 3 เดือน จะครบกำหนดงบปี 2567 มองว่าทุกหน่วยงานร่วมมือกัน จะทำได้ตามเป้าหมาย รวมถึงการดูแลการเบิกจ่ายงบประมาณปี’67 เพื่ออัดฉีดเงินออกสู่ระบบ หลังจากภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุน ปี 2567 จำนวน 8.5 แสนล้านบาทในไตรมาส 3 ของปีงบ’67 (เม.ย.-มิ.ย.) โดยต้องเบิกจ่ายไม่น้อยกว่า 21% ปัจจุบัน เบิกจ่ายไปแล้ว 38.6%
“3 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 2567 มีเรื่องท้าทาย ทั้งการเก็บรายได้ของรัฐบาลที่คาดว่าในช่วง 9 เดือนของปีงบประมาณ 2567 ต่ำกว่าเป้าหมายอยู่จึงให้ทั้ง 3 กรมภาษี กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร รวมถึงกรมธนารักษ์ ที่เก็บรายได้จากการให้เช่าที่ราชพัสดุ เพิ่มประสิทธิภาพในช่วง 3 เดือนสุดท้าย เพื่อทำให้การเก็บรายได้ทั้งปีได้ตามเป้าหมายเอกสารงบประมาณส่วนเรื่องท้าทายการเบิกจ่ายงบประมาณได้สั่งการให้กรมบัญชีกลาง ที่ดูแลคลังจังหวัดทั่วประเทศ ประสานหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุน ให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้มากที่สุด”
ส่วนการพิจารณามาตรการลดหย่อนภาษีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขอเว้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบิน หรือ มาตรการลดหย่อนภาษีจากการลงทุนในตลาดหุ้น เป็นเรื่องที่ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ต้องแน่ใจว่าคุ้มค่ากับภาษีที่เสียไป และที่สำคัญที่สุดต้องไม่กระทบกับฐานะการคลังของประเทศ โดยเฉพาะการปิดหีบงบประมาณปี 2567 ที่รายได้ยังต่ำกว่าเป้าหมายอยู่
ขณะที่เรื่องของการเรียกความเชื่อมั่นในตลาดหุ้น-ตลาดทุน ในบทบาทของกระทรวงการคลัง ที่จะทำต่อจากนี้คือ ให้ สำนักคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)ทำรายละเอียดกองทุนวายุภักษ์ 3 วงเงินไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าอีกไม่เกิน 2 เดือนจากนี้จะสามารถจัดตั้งกองทุนได้ และสามารถดำเนินการกระตุ้นตลาดหุ้นไทยได้ทันที ซึ่งรูปแบบกองทุนวายุภักษ์ จะตั้งเป็นกองทุนใหม่ หรือ ไปใช้กองทุนวายุภักษ์ 1 หรือ 2 ไม่มีความแตกต่างกัน เป้าหมายสำคัญคืออะไรทำได้เร็วกว่าก็จะใช้วิธีนั้น ซึ่งจะช่วยดันเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้เร็วขึ้น
“จะใช้กองเก่าหรือกองใหม่ไม่ใช่ประเด็น อันไหนทำได้เร็วกว่าก็ใช้อันนี้ วันนี้มองว่าใช้กองทุนเดิมน่าจะเร็วกว่า เพราะการตั้งกองทุนใหม่จะมีเรื่องของกฎระเบียบทำให้มีความล่าช้า ทั้งนี้ กองทุนใหม่ ที่เราจะใส่เข้าไปกว่า 1 แสนล้านบาทเมื่อรวมกับกองทุนวายุภักษ์เดิม ที่มีมูลค่ากว่า 3.4 แสนล้านบาท จะทำให้สภาพคล่องของตลาดทุนไทยสูงกว่า 5 แสนล้านบาท” นายลวรณ กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันคลัง มีการกระตุ้นตลาดหุ้นผ่านกองทุน Thai ESG ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดการซื้อในช่วงใกล้สิ้นปี เพื่อใช้หักลดหย่อนภาษี จึงเกิดแรงซื้อในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม นี้ จึงจำเป็นต้องมีกองทุนวายุภักษ์เข้าไปเสริม เพื่อเติมเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดทุนสำหรับการปรับปรุงเงื่อนไขกองทุน Thai ESG จะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของครม.ภายใน 2 สัปดาห์นี้ส่วนข้อเสนอ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เสนอให้ลดเงื่อนไขกองทุน Thai ESG เป็นการหารือกับ นายพิชัยชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในช่วงที่ผ่านมา
“การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาว่าคุ้มค่ากับเม็ดเงินภาษีหรือไม่ ซึ่งวันนี้เป็นโอกาสของการพัฒนาตลาดทุนไทย ซึ่งไม่ใช่เรื่องการเติมเงินผ่านกองทุนวายุภักษ์ 3 หรือการให้สิทธิประโยชน์ภาษีลงทุนเพิ่มเติมเพียงอย่างเดียว แต่มีการทำงานรวมกัน ทั้ง ก.ล.ต. และ ตลท. ที่ได้มีการทยอยมาตรการออกมาเรียกความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทย ให้นักลงทุนเชื่อมั่นกลับมาลงทุนได้อย่างมั่นใจ”
สำหรับเรื่องการบริหารจัดการพอร์ตหุ้นรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังถืออยู่เพื่อนำไปสู่การพิจารณาขายหุ้นที่ไม่ทำกำไรนั้น ต้องอธิบายอย่างนี้ว่า การได้มาของหุ้นรัฐวิสาหกิจมีหลายวิธี คือ 1.กระทรวงการ คลังเป็นเจ้าของหุ้นตัวนั้นตั้งแต่แรก 2.ได้หุ้นมาจากการล้มละลายในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง และ 3.ได้หุ้นจากผลการกระทำผิดกฎหมายของ ปปง. ทำให้เกิดการดำเนินคดี ถูกยึดทรัพย์และตกเป็นของแผ่นดินถูกส่งเข้ากระทรวงการคลัง ขณะนี้ได้มอบนโยบายให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)จัดลำดับความสำคัญ คือ 1.เป็นหุ้นที่มีความสำคัญเชิงนโยบายหรือไม่ 2.เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเชิงปันผลและมีรายได้ที่ดีหรือไม่ และ3.การถือหุ้นของกระทรวงการคลังจะมีสิทธิ์และเสียงในการชี้นำแนวนโยบายหุ้นตัวนั้นได้หรือไม่ได้ ต้องมาคัดหุ้นดูว่าเหลืออะไรบ้าง ถ้าเป็นเศษหุ้นที่ถือเพียงเล็กน้อย ไม่สามารถมีส่วนร่วมในการบริหาร เช่น หุ้นที่ได้มาโดยยึดทรัพย์ก็ให้พิจารณาขายออก
“กระทรวงการคลัง ยังเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 จะขยายตัวได้ 2.4% ที่ประมาณการไว้ล่าสุด แม้ว่าครึ่งปีแรกของปีจะมีเงินงบประมาณด้านการลงทุนเข้าไปช่วยเศรษฐกิจเลย เพราะการพิจารณาล่าช้าเริ่มใช้กลางปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้มีการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนเป็นพิเศษ เชื่อว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังขยายตัวได้ดี และทั้งปีได้ตามเป้าหมายที่ประมาณการไว้”
อนันตเดช พงษ์พันธ์ุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี