นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ขณะนี้กรมสรรพสามิต ลงนาม MOU กับค่ายรถยนต์ ผ่านมาตรการ EV 3.0 โดยรัฐบาลชดเชยราคารถยนต์ไฟฟ้าให้กับผู้ซื้อ 1.5 แสนบาทต่อคัน และมาตรการ EV 3.5 รวมทั้งมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ 23 ราย ด้วยการลดภาษีนำเข้าจาก 8% เหลือ 2% โดยมาตรการของมาตรการดังกล่าว ภาคเอกชนต้องเข้ามาลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ และมีเงื่อนไขว่าใช้วัสดุในประเทศ 40% และ หากนำเข้าในรถยนต์ในปี’66 จำนวน 1 แสนคัน ต้องผลิตในประเทศในปี’67 จำนวน 1 แสนคัน หากตั้งโรงงานผลิตไม่ทันภายในปี’68 ต้องผลิตรถยนต์ 1.5 เท่า ปัจจุบันมีเม็ดเงินลงทุนเพื่อตั้งโรงงานผลิตอีวีในไทยกว่า 40,000 ล้านบาท และในปี 2569 จะมีเม็ดเงินลงทุนผลิตและประกอบแบตเตอรี่รถอีวีกว่า 25,000 ล้านบาท ซึ่งได้เข้าไปพูดคุยกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แล้ว
“ขณะนี้ BYD นำร่องผลิตรถยนต์ในประเทศแล้ว เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของโลก เพื่อผลิตขายทั้งในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศ และในปี 2567 จะเป็นปีแรกที่ค่ายรถอีวีที่เซ็นสัญญาจะเริ่มเปิดโรงงานเพื่อผลิตชดเชย ซึ่งคาดว่าจะมียอดการผลิตรถอีวีในประเทศปีนี้ 8-9 หมื่นคัน และจะเริ่มเป็นปีแรกที่ไทยสามารถส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศได้ และเป็นการสะท้อนการเป็นฐานผลิตรถยนต์ของไทยเช่นเดียวกับที่เคยผลิตรถยนต์สันดาป”
ทั้งนี้โดยรวมแล้วมาตรการ EV 3.0 สิ้นสุดลงในปี 2566 ใช้เงินอุดหนุนทั้งสิ้น 1.4 หมื่นล้านบาท โดยสรรพสามิตได้เสนอของบประมาณ 7,000 ล้านบาท จากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นกับสำนักงบประมาณ ซึ่งเตรียมเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็วๆนี้ สำหรับจ่ายเงินอุดหนุนให้ผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้รับชดเชยอีก 35,000 คัน ทั้งนี้ ได้จ่ายอุดหนุนผู้ประกอบการไปแล้ว 40,000 คัน กว่า 7,000 ล้านบาท สำหรับมาตรการ EV 3.5 จะมีผลใช้บังคับในช่วงปี 2567-2570 โดยครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะ ไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ยังคงสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ในการลดอัตราภาษีสรรพสามิต ลดอัตราอากรขาเข้า และให้เงินอุดหนุนสำหรับค่ายรถยนต์บางค่ายที่เข้าร่วมมาตรการแรกไม่ทัน รวมทั้งค่ายรถเดิมที่สนใจ ซึ่งปัจจุบันมีผู้เซ็นสัญญาแล้ว 8 บริษัท โดย เงินอุดหนุนสำหรับมาตรการ EV 3.5 จะลดลงจากเดิม และจะเป็นไปตามประเภทของรถ และขนาดของแบตเตอรี่ โดยในปี 2567 ได้รับเงินอุดหนุนสูงสุดคันละ 100,000 บาท ปี 2568 ลดเหลือ 75,000 บาท ปี 2569 เหลือ 50,000 บาท และปี 2570 อยู่ที่ 50,000 บาท
นอกจากนี้ในปี 2569 รัฐบาลกำหนดแผนส่งเสริมการผลิตแบตเตอรี่ ตั้งแต่การตั้งโรงงานผลิตหน่วยเซลล์ (Cell to Module) การผลิตกลุ่มเซลล์ นำสร้างโมดูล จากนั้นผลิตหลายโมดูลเพื่อสร้างแพ็กเกจเป็นแท่งแบตขนาดใหญ่วางใต้ท้องรถยนต์ เพื่อส่งเสริมการผลิตอุปกรณ์หลักของรถยนต์ไฟฟ้า ขณะนี้ภาคเอกชนยื่นขอบีโอไอวงเงินลงทุน 25,000 ล้านบาทนับว่าไทยได้ประโยชน์หลายด้าน ทั้งการดึงดูดการลงทุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า การดึงเงินลงทุนเข้าประเทศก่อให้เกิดการผลิต การจ้างงาน การเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า คาดว่าผลิตได้ 1.8 ล้านคันต่อปี
“เรื่องของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่คาดว่าผลิตใช้ในประเทศสัดส่วน 50% ส่งออกอีก50% เพราะค่ายรถยนต์หลายชาติ ติดต่อเข้ามาสร้างโรงงานในประเทศไทยจำนวนมากจึงต้องคว้าโอกาสนี้ เพราะกำหนดให้ใช้วัสดุชิ้นส่วนในประเทศ 40” จากส่วนประกอบทั้งหมดของรถยนต์ 1 คัน
ดังนั้น กรมสรรพสามิต จึงต้องศึกษาแนวทางดึงดูดการลงทุนแบตเตอรี่ เบื้องต้นกำหนด หากผลิตแบตเตอรี่มาตรฐาน อึดทนทาน ใช้นาน ขนาดใหญ่ เก็บภาษีน้อย หากผลิตแบตเตอรี่ คุณภาพลดลงเก็บภาษีสูงขึ้น เพื่อใช้มาตรการภาษีเป็นแรงจูงใจ โดยเตรียมเสนอกระทรวงการคลังพิจารณาลดภาษีแบตเตอรี่ในเร็วๆ นี้ เพื่อเสนอ ครม.พิจารณาในขั้นต่อไป รวมทั้ง เสนอ ครม. จัดสรรงบประมาณชดเชยรถยนต์ไฟฟ้า จากรอบแรก 7,000 ล้านบาท จำนวน 40,000 คัน เมื่อขยายมาตรการ EV 3.5 ต้องของบเพิ่มอีก 7,000 ล้านบาท สำหรับยอดจองซื้อ 3.5 หมื่นคัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี