'นฤมล'ผู้แทนการค้าไทยนำทีมไทยแลนด์ พบ รมว.เพาะปลูกมาเลเซีย ขับเคลื่อนการค้าการลงทุนอุตสาหกรรมยางพารา เผยไทย-มาเลเซีย เตรียมลงนาม MOU เดินหน้าสร้างความเข้มแข็งผู้นำด้านยางพาราของโลก
เมื่อวันที่ 11 ก.ค.2567 ที่ทำการ MRB กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้แทนการค้าไทยหารือกับ ดาโต๊ะ เสรี โจฮารี อับดุลกานี่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเพาะปลูก และสินค้าโภคภัณฑ์มาเลเซีย และคณะผู้บริหารจาก Ministry of Plantation Industries and Commodities และคณะผู้บริหาร Malaysian Rubber Board โดยมีทีมไทยเลนด์ ประกอบด้วย น.ส.ลดา ภู่มาศ เอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย ณ กรุงกัวลาลัมเปรอ์ ดร. เพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย นายโกศล บุญคง รองผู้ว่าการด้านบริหารการยางแห่งประเทศไทย
พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเจรจาด้านการค้าการลงทุนในอุตสาหกรรมยางพารา เตรียมพร้อมเดินหน้าจับมือลงนามความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยางพารา และสร้างความเข้มแข็งในฐานะผู้นำด้านการผลิต และการส่งออกด้านยางพาราของโลก
นางนฤมล กล่าวว่า ด้วยนโยบายของนายกรัฐมนตรีระหว่างประเทศไทย และประเทศมาเลเซีย ที่ต้องการจะพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราของทั้งสองประเทศให้มีประสิทธิภาพ และมีมูลค่าเพิ่มอย่างเป็นรูปธรรม ในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความร่วมมือระหว่างประเทศและการสร้างความสัมพันธ์อันดี เพื่อพัฒนาการค้ายางและความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านยางพาราของประเทศไทยและประเทศมาเลเซียให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน ปัจจุบันทั้งสองประเทศมีผลิตภัณฑ์ที่จะต้องบังคับใช้ภายใต้กฎระเบียบ EUDR ทั้งสองประเทศควรจะให้ความร่วมมือทางข้อมูลและขั้นตอนในการตรวจสอบย้อนกลับตามกฎระเบียบดังกล่าว เพื่อให้ภาคเอกชนหรือผู้ประกอบการที่มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์สู่สหภาพยุโรปมีความมั่นใจจากสินค้าที่มาจากแหล่งที่มาของทั้งสองประเทศ
“ฝ่ายไทยในฐานะผู้นำด้านการผลิต หรือด้านต้นน้ำของโลก มีความยินดีในการให้การสนับสนุน เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมถุงมือยางของมาเลเซียให้มีความยั่งยืนในฐานะผู้นำการส่งออกของโลก และทั้งสองประเทศจะเป็นผู้นำด้านการพัฒนายางพาราของอาเซียน เพื่อแสดงบทบาทในการเจรจาต่อรองกับตลาดโลกได้” ผู้แทนการค้า ย้ำ
ทางด้าน ดร.เพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศ กล่าวว่า ปัจจุบันผลผลิตน้ำยางสดในประเทศไทยมีแนวโน้มลดลง เพราะมีการเปลี่ยนไปผลิตเป็นยางก้อนถ้วยเพิ่มมากขึ้นตามความต้องการของตลาด ดังนั้น ในฐานะที่ประเทศมาเลเซียมีเทคโนโลยีในการผลิตถุงมือ และประเทศไทยก็เป็นแหล่งผลิตน้ำยางที่สำคัญ หากทั้งสองประเทศร่วมมือกัน จะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทาน ทำให้อุตสาหกรรมยางพารามีความเข้มแข็งและมั่นคง ตลอดจนเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยจะมีชีวิตความเป็นที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ฝ่ายไทย ได้เสนอนโยบายของรัฐบาลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “โครงการโฉนดต้นยาง” เพื่อแก้ปัญหาการตรวจสอบย้อนกลับของพื้นที่ปลูกและการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งทางมาเลเซีย มีความสนใจและมีความประสงค์ในการแลกเปลี่ยนแนวทางดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหาห่วงโซ่อุปทานยางพาราในระยะยาว
“ การพบปะหารือเพื่อเจรจาระหว่างผู้แทนไทยและมาเลเซียในครั้งนี้ มีความสำเร็จอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านยางพาราซึ่งเป็นสินค้าเกษตรที่สำคัญของสองประเทศในการยกระดับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้มีความยั่งยืน โดยจะมีการลงนามความร่วมมือการค้าการลงทุนอุตสาหกรรมยางพาราอย่างเป็นรูปธรรมในเร็วๆ นี้ นอกจากความร่วมมือด้านยางพาราแล้ว ในด้านการค้าปี 2566 มาเลเซียเป็นประเทศคู่ค้าอันดับที่ 4 ของไทย มูลค่ารวม 25,118 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การค้าชายแดนไทย - มาเลเซีย มีมูลค่าสูงที่สุดของการค้าชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศ คิดเป็นประมาณร้อยละ 31 ของการค้าชายแดนทั้งหมด โดยไทยและมาเลเซียตั้งเป้าหมายการค้าที่ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 ส่วนด้านการท่องเที่ยว ในปี 2566 นักท่องเที่ยวมาเลเซียเดินทางมาท่องเที่ยวที่ไทยทั้งสิ้น 4,563,020 คน นับเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวไทยมากที่สุด” ผู้แทนการค้าไทย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี