ไร้ข้อโต้แย้งรายงานยูเอ็น ปมรัฐบาลเมียนมาโยงแบงก์ไทย ขีดเส้น 30 วันวางกรอบป้องกัน
เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 11 ก.ค.67 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาข้อเท็จจริง กรณีสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เปิดเผยรายงานอ้างว่าธนาคารในประเทศไทย เป็นผู้ให้บริการทางการเงินหลัก ให้กับรัฐบาลทหารเมียนมา ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ พร้อมได้เชิญนายทอม แอนดรูว์ส ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติ ด้านสิทธิมนุษยชน ในฐานะผู้จัดทำรายงานมาให้ข้อมูล ร่วมกับตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงต่างประเทศ , สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) , ธนาคารแห่งประเทศไทย , สมาคมธนาคารไทย , ธนาคารกรุงไทย , ธนาคารไทยพาณิชย์ , ธนาคารกสิกรไทย , ธนาคารทหารไทยธนชาติ และธนาคารกรุงเทพ
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เนื่องจากรายงานดังกล่าว เป็นรายงานที่ได้แสดงให้เห็นว่า มีความเชื่อมโยงในส่วนของธนาคารของประเทศไทยไปเกี่ยวข้องกับการจัดซื้ออาวุธต่างๆ ที่ใช้ในการเข่นฆ่าประชาชนชาวเมียนมา ซึ่งเป็นความรุนแรงที่มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และทำให้เกิดคลื่นผู้อพยพเข้ามาที่ประเทศไทย ทั้งในรูปแบบที่สามารถระบุได้และไม่ได้ ย้ำว่า ความขัดแย้งและความรุนแรงเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น กมธ.ความมั่นคงฯ ไม่สามารถที่จะนิ่งนอนใจได้
นายรังสิมันต์ ยกตัวอย่างว่า ก่อนหน้านี้ในปี 66 ที่มีรายงานในลักษณะแบบนี้ มาก่อนแล้ว หรือคือ 4 ปี ที่ประเทศไทยไม่ได้มีมาตรการหรือการดำเนินการอย่างไร โดยผลของรายงานฉบับดังกล่าว ก็มีความเชื่อมโยงของบริษัทจำนวนมากกว่า 250 บริษัท ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการจัดซื้ออาวุธและความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมียนมา แม้ในวันนั้น ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมมากที่สุด แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมบางอย่าง ที่อาจจะนำไปสู่การใช้ความรุนแรงในเมียนมา แต่เราไม่ได้เห็นความชัดเจนว่า ภายหลังจากที่มีรายงานฉบับแรกออกมา ประเทศไทยได้มีมาตรการหรือดำเนินการอย่างไรบ้าง
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ดังนั้นในวันนี้หลังจากที่มีรายงานอีกฉบับหนึ่งของนายทอมออกมา เราก็พยายามที่จะสอบถามเรื่องนี้กับทุกฝ่าย ทั้งภาคส่วนของธนาคาร ภาคส่วนของรัฐ ไปจนกระทรวงการต่างประเทศ โดยทุกฝ่ายก็พูดตรงกันว่า ไม่อยากให้ระบบธนาคารของเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมที่จะนำไปสู่การซื้ออาวุธเลย และแน่นอนว่า แม้วันนี้เรายังไม่ได้มาตรฐานที่ชัดเจนว่า จะมีการดำเนินการอย่างไร แต่วันนี้เรามีคำสัญญาจากทุกฝ่าย ว่าจะมีมาตรการทั้งระยะสั้น กลาง และยาว เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ต่อไป
“ในเบื้องต้น ตลอดการพูดคุย ไม่มีข้อเท็จจริงหรือข้อประเด็นที่อาจจะโต้แย้งว่ารายงานฉบับนี้ไม่ถูกต้องเลย ดังนั้นเราก็คงจะสามารถอนุมานได้ว่าข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ คงจะเป็นรายงานที่ถูกต้อง และเป็นรายงานที่เราคงจะต้องนำไปสู่การสร้างมาตรการที่จะแก้ปัญหาต่อไป มี กมธ.บางคน รวมถึงนายพิธา ได้นำเสนอในที่ประชุมว่า สิงคโปร์ จะเป็นโมเดลที่สำคัญ ให้ประเทศไทยควรจะเดินตาม ย้ำว่า เราไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องนี้ลำพัง แต่ต้องเอากรณีของสิงคโปร์มาเป็นรูปแบบการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ ซึ่งคงจะมีการประสานงานกันต่อไป” นายรังสิมันต์ กล่าว
ทั้งนี้ กมธ. ได้มีการแนะนำไปที่กระทรวงการต่างประเทศ ว่าจะต้องมีการประสานงานกับทางสิงคโปร์ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ในภาพรวมทั้งหมดและได้ให้หน่วยงานทั้งหมดทำรายงานความคืบหน้ากลับมาที่ กมธ.ใน 30 วัน เพื่อติดตามมาตรการที่มีความชัดเจนต่อไป
อย่างไรก็ตาม ยังมีบัญชีที่ถูกใช้ในการทำธุรกรรมทางธนาคารที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายอาวุธต่างๆ ยังสามารถใช้งานได้อยู่ แต่เราก็ได้รับคำยืนยันจากธนาคารว่า แม้จะยังใช้งานอยู่ แต่มีการทำธุรกรรมทางธนาคารน้อย แม้สิ่งนี้จะไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญ แต่ที่น่าประหลาดใจ คือเงิน และระบบของเรายังถูกใช้ เพื่อนำไปซื้อขายอาวุธ และสนับสนุนรัฐบาลทหารเมียนมาในการเข่นฆ่าประชาชน ทำให้เรารับไม่ได้
ด้านนายทอม กล่าวเสริมว่า ประเทศรอบข้างเมียนมากำลังสนใจเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมาตอนนี้ จากกรณีที่มีการใช้อาวุธร้ายแรงในการประหัตประหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ซึ่งจากการประชุมในครั้งนี้ นายรังสิมันต์ ก็ได้พูดในลักษณะที่เป็นสิ่งที่จับต้องได้ และค่อนข้างเป็นรูปธรรม ทั้งในเรื่องของแผนงานและเรื่องของระยะเวลา
“นี่น่าจะเป็นจุดตั้งต้นที่ดี และยังมีหลายอีกหลายหนทาง เพื่อเริ่มต้นด้วยกัน สิ่งที่เห็นในวันนี้ คือ การมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติชัดเจนเช่นเดียวกัน” นายทอม กล่าว
ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีที่ OHCHR เปิดเผยรายงานต่อ UN กรณีธนาคารพาณิชย์ของไทยหลายแห่ง มีบัญชีการเงินของรัฐบาลทหารเมียนมา เพื่อทำธุรกรรมในด้านจัดหาอาวุธยุทธภัณฑ์เพื่อใช้ในสงครามภายในประเทศ ว่า การประชุมมีมติได้ว่าน่าจะมีปัญหาจริง แต่จะแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร ยังไม่มีข้อยุติ ตนเองเลยเสนอนายรังสิมันต์ โรม ประธานกรรมาธิการฯ ว่าให้ประสานไปยังสิงคโปร์ โดยปีที่แล้วเมื่อมีรายงานเหล่านี้ รัฐบาลสิงคโปร์ทำการตรวจสอบอย่างไร กระบวนการเป็นอย่างไร ก็ทำตามกระบวนการนั้น และคงใช้โอกาสนี้ถามไปยังนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่ามีความเห็น และมีจุดยืนเกี่ยวกับเรื่องนี้ วิกฤตในเมียนมา และรายงานนี้อย่างไร เพราะยังไม่การออกมาชี้แจงเหมือนกับที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ออกมาชี้แจง ว่ารับเรื่องนี้ไม่ได้ จึงตั้งคณะกรรมการในการสอบสวนทันที ในขณะที่ของไทย เท่าที่ฟังยังไม่มีมีการออกมาแสดงความเห็น และออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้
นายพิธา กล่าวต่อว่า ธนาคารไทยมาชี้แจงว่าไม่ทราบ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยรายงานฉบับดังกล่าว ก็บอกว่าอาจจะไม่รับทราบว่าลูกค้าที่มีส่วนหนึ่งที่จะฟันเรื่องการใช้เครื่องบินรบ อาวุธ และการฟอกเงินหรือไม่ ต้องรอดูว่ารายการที่สิงคโปร์ตรวจสอบ แล้วมาเทียบของรัฐบาลไทย และของธนาคารไทยตรงกันหรือไม่ ถ้าตรงกันก็น่าจะดำเนินการได้เร็วขึ้น
นายพิธา กล่าวต่อว่า อีกประเด็นสำคัญคือประเทศไทยไม่มีกฎหมายรองรับเรื่องอาชญากรรมมนุษยชาติ ทาง ปปง. ก็บอกว่าไม่มีกฎหมายรองรับในการดำเนินการต่อไป ซึ่งพรรคก้าวไกลอาจดำเนินการต่อ
นายพิธา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเองได้เข้ารับฟังการประชุม โดยถ้ามีเวลาเองก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อย่างเรื่องที่ดินทับลาน ถ้ามีประชุมก็จะแจ้งกันในกลุ่มพรรค และจะหาความรู้มากขึ้นเพื่อที่จะช่วยในเรื่องนี้
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี