นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)กล่าวว่า อีอีซี ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการศึกษาแนวทางการสนับสนุนให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนสามารถจ่ายไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้กับผู้ประกอบกิจการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ผ่านระบบโครงข่ายไฟฟ้าใหม่ ร่วมกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน สมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (อาร์อี 100) มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน และกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตไฟฟ้า เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่าง อีอีซี และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุน และสนับสนุนการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด นำไปสู่การพัฒนาในพื้นที่อีอีซีอย่างยั่งยืน
ความร่วมมือดังกล่าว จะขับเคลื่อนการศึกษาร่วมกันกับภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสร้างโอกาสให้เกิดการผลิต และจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้กับพื้นที่อีอีซี สนับสนุนให้เกิดการลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) โดยเฉพาะด้านพลังงานสะอาด ผลักดันการพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรม รองรับให้เกิดการลงทุนนวัตกรรมใหม่ สอดคล้องกับเป้าหมายพัฒนาในภาพรวมให้ก้าวสู่พื้นที่ Net Zero Carbon Emission ภายในปี 2065 สร้างการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความเป็นอยู่ของชุมชนและพื้นที่ส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนในพื้นที่อีอีซี ต่อไป
นายประดิษฐ์ เฟื่องฟู รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดของประเทศไทย และส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานสะอาด เพื่อรองรับและดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่มีความต้องการพลังงานไฟฟ้าสะอาดอย่างสูง กฟภ.จึงพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าเพิ่มศักยภาพของโครงข่ายไฟฟ้าให้สามารถรองรับแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด การร่วมขับเคลื่อนนโนบายการให้บริการไฟฟ้าสีเขียว UGT: Utility Green Tariff
หนุนให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียน มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในอนาคต รวมถึงการส่งเสริมการให้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม หรือ Third Party Access Code : TPA Code เพื่อรองรับนโยบายส่งเสริมการแข่งขันในกิจการไฟฟ้าแบบเสรี เพื่อทำให้เกิดการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดได้โดยตรง
นายฮาราลด์ ลิงค์ นายกสมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน กล่าวว่า ภาคเอกชนมีความพร้อมในการผลิต จัดส่ง และจำหน่ายไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า ทั้งจากกำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้า Cogeneration และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานไฟฟ้าสะอาด ในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี ซึ่งภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการด้านพลังงานสะอาด ที่มีความจำเป็นสำหรับการเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ปัจจัยหลักที่สำคัญในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดนี้ จะต้องมีการเปิดเสรีสำหรับการใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม เพื่อส่งเสริมให้เกิดตลาดซื้อขายไฟฟ้าอย่างเสรีได้อีกทั้งเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ซื้อไฟฟ้าที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาด ซึ่งจะช่วยตอบสนองนโยบายภาครัฐในการมุ่งสู่เป้าความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060
นายวีระเดช เตชะไพบูลย์ นายกสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (อาร์อี 100) กล่าวว่าในอนาคตพลังงานหมุนเวียนจะกลายเป็นพลังงานหลักของระบบพลังงานโลก จะมีบทบาทที่สำคัญมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การสร้างงานที่มั่นคงและยั่งยืน และเป็นการสร้างโลกที่สะอาดและมีสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับคนรุ่นหลัง ขณะที่เทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียนจะยังคงมีการพัฒนา และก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และเป็นเครื่องมือหลักของมนุษย์ชนในการปกป้องสิ่งแวดล้อม
นายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน กล่าวว่า ปัจจุบัน ผู้ประกอบการทั่วโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันให้ใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก อันเนื่องมาจากมาตรการกีดกันทางการค้าในรูปแบบที่ไม่ใช่ภาษี หรือที่เรียกว่า Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ซึ่งไทยยังมีความล่าช้าในการปรับตัวต่อสถานการณ์นี้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการจากต่างประเทศ เริ่มย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย มูลนิธิฯ มีความกังวลว่าหากสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไป ไทยอาจสูญเสียความน่าสนใจในฐานะแหล่งผลิตเพื่อการส่งออกในระยะเวลาอันสั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี