nn ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) หรือเอดีบี ได้เผยแพร่งานฉบับล่าสุด (17 ก.ค.2567) ซึ่งรายงานดังกล่าวได้ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแปซิฟิกใน 2567 อยู่ที่ 5.0% จากที่เคยคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 4.9% เนื่องจากการส่งออกในภูมิภาคที่ปรับตัวสูงขึ้นช่วยเสริมอุปสงค์ภายในประเทศให้ปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย ส่วนแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2568 ยังคงอยู่ที่ 4.9% สำหรับประเทศไทย เอดีบียังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยไว้ที่ 2.6% อันเป็นผลจากการฟื้นตัวด้านท่องเที่ยวและการบริโภคอย่างต่อเนื่อง เอดีบีคาดว่าการบริโภคยังคงเติบโตได้จากการใช้จ่ายในภาคบริการที่ปรับตัวสูงขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น....แต่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคอาจลดต่ำลงเนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวส่วนการลงทุนภาคเอกชนในภาคบริการคาดว่าจะขยายตัวได้ตามการซื้อขายและบริการภายในประเทศ ขณะที่การลงทุนภาครัฐยังคงอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า
เวลาเดียวกันนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ครั้งล่าสุด วันที่ 16 ก.ค.2567 โดยระบุว่า เศรษฐกิจของไทยในปี 2567 จะขยายตัว 2.9% เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือน เม.ย.ที่ระดับ 2.7% และคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัว 3.1% เพิ่มขึ้นจากตัวเลข
คาดการณ์เดิมที่ระดับ 2.9% ส่วนเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัว 3.2% ในปี 2567 ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือนเม.ย. และคาดเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.3% ในปี 2568
จากรายงานทั้งสองฉบับนี้สะท้อนภาพว่าเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาภาคการค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก (ส่งออก) และตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยกลับเติบโตต่ำกว่าเศรษฐกิจโลก และในขณะที่ประเทศในภูมิภาคเดียวกันกับไทยเติบโตมากกว่าประมาณการของเอดีบี แต่ของไทยกลับไม่เป็นเช่นนั้น..เพราะเรายังเติบโตได้ในระดับเดิมที่เอดีบีประมาณการณ์ไว้ก่อนหน้า...
คำถามคือ....ทำไมเศรษฐกิจไทยไม่ได้รับอานิสงส์เชิงบวกของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในภาคเอเชีย....เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจไทย ????....หนึ่งในสาเหตุที่น่าจะเป็นคำตอบของคำถามที่ว่านี้ได้...ขอยกเอาบางส่วนของบทวิเคราะห์ของ KKP Research มาเป็นคำตอบก็คงจะได้
KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นช้าลงหลังโควิด-19 ไม่ได้เป็นเพียงการโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่อาจเป็นเพราะศักยภาพเศรษฐกิจไทยกำลังถดถอยลง โดยศักยภาพของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะเติบโตได้ต่ำกว่า 2% ด้วย 3 เหตุผลหลัก ได้แก่ 1. ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ภายใต้ภาวะการแข่งขันจากต่างประเทศที่เข้มข้นขึ้น 2. กำลังแรงงานที่ทั้งลดลงและแก่ตัวลง และ 3. ขาดการลงทุนที่ช่วยเพิ่มผลิตภาพของปัจจัยการผลิต ดังนั้น จึงต้องเร่งดำเนิน นโยบายการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่นำไปสู่การลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยี จึงเป็นทางออกสำคัญที่จะยกศักยภาพเศรษฐกิจไทยและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก นอกจากนี้ การปฏิรูปภาคการคลังและระบบภาษีก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในวันที่คนไทยกำลังแก่ตัวขึ้น…
หากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจังจะทำให้ศักยภาพการเติบโต (GDP Potential) ลดลงประมาณ 0.5 จุดต่อปีจนถึงปี 2030 และลดลง 0.8 จุดต่อปีในทศวรรษที่ 2040 ซึ่งจะทำให้ศักยภาพ GDP ไทยเหลือต่ำเพียงราว 2% ต่อปี และที่แย่ที่สุดคือ ศักยภาพ GDP ไทยจะต่ำลงไปได้ถึง 1.3% ต่อปีในปลายทศวรรษหน้า
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี